
Chutinart Chinudomporn
18 hours ago
·
'Death of despair - การตายเพราะหมดหวัง'
คำนี้มีอยู่จริงบนโลก และไม่ใช่แค่คำศัพท์ที่ใช้เพื่อบรรยายความทุกข์อย่างเดียว แต่มันมีตัวตนจริงในทางสังคม วิชาการ การแพทย์ และแนวโน้มของคนที่ "ตายเพราะความหมดหวัง" เยอะขึ้นเรื่อยๆ
--------------------------------------------------
การตายเพราะหมดหวัง คืออะไร?
การตายที่เกี่ยวข้องกับการจบชีวิตตัวเอง การตายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ทำเพื่อให้อยู่กับโลกไร้หวังนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อเนื่อง หรือการติดสารเสพติด เพื่อให้แต่ละวันพอผ่านไปได้ ทั้งหมดนี้ เป็น 'self-destructive behaviors' คือทำเพื่อให้จบชีวิตตัวเองไปอย่างช้าๆ หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้ความเจ็บปวดมันด้านชาลงบ้าง และสุดท้าย นำไปสู่การตายตั้งแต่ช่วงวัยกลางคน โดยเราจะพบการตายเพราะหมดหวังนี้มากสุดในกลุ่มคนรายได้น้อย กลุ่มคนที่ทำงานในงานที่มีความมั่นคงต่ำ
--------------------------------------------------
การตายเพราะหมดหวังเกิดจากอะไร?
ความไม่มั่นคงทางการเงิน ความเครียด ความกังวล มองไปทางไหนก็ดูมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ต้องจัดการ แต่ดูจะไม่มีเรี่ยวแรง กำลังทรัพยากรมาจัดการได้ ยิ่งต้องพบเจอกับเรื่องนี้ไวมากขึ้นเท่าไหร่ อายุขัยก็ยิ่งสั้นลง และความสิ้นหวังนี้ ก็ยังส่งต่อไปสู่รุ่นต่อไปได้ แม่ที่พบเจอความเครียดตั้งแต่อายุน้อย ตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น มีโอกาสได้รับการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ที่ไม่เหมาะสม ไม่สามารถหยุดสารเสพติด ลูกที่เกิดมามีสุขภาพที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นตั้งแต่แรกเกิด และเป็นไปได้ว่าช่วงที่เขาเกิดมา แม่จะอยู่ในจุดตกต่ำสุดทางการเงินของชีวิตอีกเพราะต้องใช้เงินดูแลมนุษย์อีกคน ส่งผลต่อสารอาหาร การเติบโตทางร่างกาย สติปัญญา การเข้าถึงการศึกษา การต้องออกจากการศึกษาก่อนวัย ต้องหางานที่เท่าที่ทำได้ และตกเข้าสู่วังวนเดิมกับที่แม่เขาต้องพบเจอในวัยเดียวกัน เพียงเเต่ว่า ช่วงเวลาของเขามันจะสั้นกว่า ราวกับว่ามันเป็นบาปโดยกำเนิด (original sin) ที่เขาต้องพบเจอเรื่องเหล่านี้
ที่รามาเคยเก็บข้อมูลย้อนหลัง 13 ปี พบว่าคนที่ใช้วิธีจบชีวิตตัวเองด้วยการผูกคอ เป็นพนักงานภาคบริการสูงถึง 60% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าวิชาชีพอื่นๆ โดยเจอปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดในร่างกายเป็นจำนวนหนึ่งด้วย
(https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC5398332/)
นอกจากนี้ บางวิจัยยังพบว่า การเรียนจบเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงชีวิตตกต่ำ เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตการทำงานที่เหลือทั้งชีวิตแย่ลง รวมถึงการเสียชีวิตจากความสิ้นหวังสูงขึ้นด้วย
(https://siepr.stanford.edu/.../recession-graduates-long...)
--------------------------------------------------
คนตายเพราะหมดหวัง เยอะแค่ไหนในประเทศนี้?
ในอเมริกา การตายจากการสิ้นหวัง ในปี 2021 เป็นสาเหตุการตายอันดับ 5 ที่ทำให้เกือบสองแสนคนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เกิด Recession พบว่าการตายจากสิ่งนี้จะสูงพุ่งขึ้นอย่างน่ากลัว
(https://www.fau.edu/.../articles/deaths-of-despair-study.php)
ในไทยไม่มีข้อมูลตัวเลขชัดเจน เพราะยังไม่มีการนิยามศัพท์นี้ลงไปในฐานข้อมูลการเก็บโรค บ้านเรามีแต่การเก็บ "โรคซึมเศร้า" "โรคตับ" "ตับเเข็งจากการกินเหล้า" แต่ไม่แน่ใจว่าใช้เอามารวมได้ไหม หากฐานข้อมูลดีพอ เชื่อว่าตัวเลขนี้จะน่ากลัวกว่าที่คิด
ข้อมูลปี 2566 คนไทยจบชีวิตตัวเองแต่ละปี สูงถึง 5000 คนต่อปี เฉลี่ยวันละ 14 คน ในขณะที่พยายามจบชีวิตตัวเองสูงถึง 40,000 คน และจำนวนนี้ เป็นวัยรุ่นมากที่สุด เห็นตัวเลขประมาณการว่าที่ไทยมีผู้ป่วยสุขภาพจิตสูงถึง 1.3 ล้านคน
ส่วนตัวชีวิตการเป็นแพทย์ เจอคนไข้เมาเหล้า อาเจียนเป็นเลือดเข้าห้องฉุกเฉินนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้ไม่เคยเลิกเหล้าได้ และจะเลิกไม่ได้จนกว่าสาเหตุที่ทำให้เขาดื่มเหล้าถูกแก้ไข หลายเหตุผลที่เคยเจอกับตัวคือ ภรรยาเสียชีวิตและต้องดูแลลูกคนเดียวแต่ยังไม่พร้อม ลูกเมายากระทืบทุกวัน ตกงาน หลายคนเลิกเหล้าขาดตอนแก้ไขปัญหาชีวิตเหล่านี้ได้แล้ว
------------------------------------------------
แล้วยังไงต่อกับ "ความหวัง" - "ความสิ้นหวัง"?
ในภาพรวมของนโยบายสุขภาพประเทศไทยปัจจุบัน เน้นชี้แต่เรื่องที่แต่เป็นเรื่องส่วนบุคคล มองแต่เรื่องที่เป็นฝั่งทางการแพทย์ซึ่งสะท้อนจากค่าเลือด ค่าเลขต่างๆที่วัดได้ แต่ที่จริงแล้ว สุขภาพ 70% เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่อสุขภาพ การกินยาการผ่าตัดหรือรักษาในโรงพยาบาล ดูแลชีวิตได้เพียง 30% เท่านั้น (ตัวเลขนี้มีจริงและบอกเองโดย WHO) นโยบายที่บอกว่านับคาร์บ จะช่วยให้คนสุขภาพดีขึ้นได้เท่าไหร่ จึงเป็นตัวเลขหลักลอยที่ปลอบใจตัวเองผ่านไปวันๆ คนหาเช้ากินค่ำ จะเอาเวลาไหนมานั่งนับคาร์บ และเขาจะมีทางเลือกได้แค่ไหนในการเเสวงหาอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ในประเทศที่โปรตีนแพง ค่าแรงน้อย ทำงานเข้ากะ 12 ชั่วโมง และเสี่ยงตกงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เพราะการไม่ยอมพูดให้ตรงปัญหา การมัวแต่สร้างภาพหรูหราว่าจะเอาการแพทย์ไปสร้างรายได้ให้ประเทศ การมองไปยังวิทยาการก้าวหน้า หรือการใช้ AI อะไรทั้งหมด จึงได้แต่ทำให้สงสัยว่าจะได้ผลจริงแค่ไหน ในประเทศที่การตายด้วยความ "สิ้นหวัง" เพิ่มขึ้น และอัตราการเกิดน้อยลงจนใจหาย
ในสภาพเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ความไม่แน่นอนทางการเมือง การไม่มีสิทธิในสุขภาพที่ดี ไม่มีการสร้างต้นทุนทางชีวิตให้เสมอภาคกันโดยรัฐ ความไร้สิทธิเสียงในการตัดสินใจชีวิตตัวเองในประเทศที่อำนาจไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ก็ได้แต่พยายามค้นหาหวังว่า อะไรจะทำให้เป็นทางออกของชีวิตแต่ละคน ทางออกของสังคมและ "ความหวัง" ที่จะทำให้คนอยากกลับมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งในประเทศนี้
.....
Ekkapop Sittiwantana
อัพเดทตัวเลขผู้ป่วยจิตเวชจากฝั่งบริการสุขภาพในห้องอนุสุขภาพจิตคนไทย (สะสม) อยู่ที่ 3.5 ล้าน ครับ
ปี 67 ผู้ป่วยรักษาอย่างน้อย 1.7 ล้านคน แต่รักษาต่อเนื่อง (มาหานักบำบัดตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป) 1.2 ล้านคน
ส่วนการคาดการณ์แนวระบาดวิทยาคาดว่ามีคนป่วยจริงเป็นจำนวน 5 เท่าของที่ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบรักษา คนป่วยจริงจึงอาจสูงกว่า 10 ล้านคนครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=24762844706680796&set=a.196866640371944
อัพเดทตัวเลขผู้ป่วยจิตเวชจากฝั่งบริการสุขภาพในห้องอนุสุขภาพจิตคนไทย (สะสม) อยู่ที่ 3.5 ล้าน ครับ
ปี 67 ผู้ป่วยรักษาอย่างน้อย 1.7 ล้านคน แต่รักษาต่อเนื่อง (มาหานักบำบัดตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป) 1.2 ล้านคน
ส่วนการคาดการณ์แนวระบาดวิทยาคาดว่ามีคนป่วยจริงเป็นจำนวน 5 เท่าของที่ผู้ป่วยที่เข้าสู่ระบบรักษา คนป่วยจริงจึงอาจสูงกว่า 10 ล้านคนครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=24762844706680796&set=a.196866640371944