
https://www.youtube.com/watch?v=3TxX__nsJr0
Pravit Rojanaphruk
10 hours ago
·
(English see link below)
ถึงเวลาเผชิญความจริงอันน่ารังเกียจเกี่ยวกับความเกลียดชังที่ฝังลึกระหว่างไทยกับกัมพูชา
ประวิตร โรจนพฤกษ์
มีการเขียนถึงสงครามที่ไม่ได้ประกาศระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าเกิดจากความบาดหมางระหว่างสองตระกูลผู้มีอิทธิพลอย่างมาก นั่นคือ ตระกูลชินวัตร ของไทย และ ตระกูลฮุน ของกัมพูชา และตีความเรื่องนี้มากเกินไป และมีการโยงไปถึงสองตระกูลผู้มีอัตตาและอิทธิพลนี้มากเกินไป ทั้งจากเทปเสียงสนทนาที่รั่วไหลระหว่าง ฮุน เซน กับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย รวมถึงประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบ่อนคาสิโนในกัมพูชาด้วย
ใช่ ปะทะคารมอันรุนแรงระหว่างสองตระกูลนี้มีส่วนทำให้เกิดสงครามที่ไร้เหตุผลครั้งนี้ ซึ่งส่งผลให้ทหารและพลเรือนหลายสิบคนจากทั้งสองประเทศเพื่อนบ้านต้องเสียชีวิต (ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนและผู้บริสุทธิ์) แต่ความเกลียดชังและความเป็นศัตรูมีรากลึกมาจากการสอนและอ่านตีความประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาแบบเลือกจำเฉพาะส่วน ตีความเข้าข้างชาติตน และการเหมารวมอีกฝ่าย ทำให้ความขัดแย้งนี้ลุกลามไปกว้างกว่าแค่สองตระกูล หรือสองรัฐบาล ไปสู่ระดับประชาชน
คนไทยและคนกัมพูชาจำนวนมากคงไม่คลั่งชาติและบ้าคลั่งขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะปัจจัยสำคัญสองประการนี้: การจำประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสองเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และ การเหมารวมอีกฝ่าย ซึ่งเป็นปัญหาที่หมักหมมมานานหลายทศวรรษ หรืออาจจะนานกว่านั้น
ขออนุญาตเริ่มจากฝั่งไทยก่อน เนื่องจากผมเป็นคนไทย
มีคำสามคำหลักที่ใช้กำหนดและครอบงำวิธีที่คนไทยที่รักชาติอย่างไม่รู้จักพอเพียง โดยทั่วไป มองกัมพูชา และคนกัมพูชา: ไม่น่าเชื่อถือ, เนรคุณ และ ด้อยกว่าเพราะลอกิะไรสารพัดจากไทย
คนไทยคลั่งชาติจำนวนมากไม่เชื่อถือคนกัมพูชา เพราะพวกเขาเชื่อในประวัติศาสตร์ไทยที่สอนว่าครั้งหนึ่ง กษัตริย์กัมพูชา (พระยาละแวก) ทรยศต่อ สมเด็จพระนเรศวร ทั้งที่สองอาณาจักรเป็นพันธมิตรกัน เมื่ออยุธยาขอความช่วยเหลือจากกัมพูชาเพื่อขับไล่พม่า แต่กลับถูกกษัตริย์กัมพูชาผู้เจ้าเล่ห์โจมตีในขณะที่อยุธยา กำลังยุ่งอยู่กับการป้องกันการโจมตีของพม่า ในที่สุดสมเด็จพระนเรศวรก็ได้รับชัยชนะหลังจากเข้าโจมตีเมืองละแวกในปี ค.ศ. 1594 และได้ยึดเมืองหลวงรวมถึงสำเร็จโทษกษัตริย์กัมพูชา ด้วยการตัดเศียร และใช้เลือดของกษัตริย์องค์นั้นล้างพระบาทของพระนเรศวร เพื่อตอบโต้การ ‘ลอบโจมตี’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของกัมพูชา
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและขมขื่นนี้ถูกสอนให้เด็กนักเรียนไทยจดจำได้อย่างฝังรากลึก จนแม้แต่ นาย สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำการชุมนุมรักชาติ ก็เคยกล่าวไว้ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกิดสงครามที่ไม่ได้ประกาศว่า ฮุน เซน และคนกัมพูชามมี DNA ของพระยาละแวก ทำให้พวกเขาเป็นชนชาติที่ไม่น่าไว้วางใจ
เมื่อวานนี้ มีคนไทยคลั่งชาติบางคนแสดงความต้องการที่จะให้กองทัพไทยยึดกรุงพนมเปญให้ได้ แทนที่จะยอมรับการหยุดยิงที่ชายแดน
(โปรดทราบว่าฝั่งกัมพูชาสอนประวัติศาสตร์เหตุการณ์นี้ในเวอร์ชันที่แตกต่างกันมาก โดยเนื้อหาของกัมพูชาอ้างว่ากษัตริย์ไทยไม่ให้ความเคารพกษัตริย์กัมพูชาในฐานะผู้เท่าเทียมกัน และสยาม เป็นฝ่ายรุกรานที่ทำลายเมืองหลวงของกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นคือกรุงละแวก นำรูปปั้นล้ำค่าไป และขโมยความรู้เรื่องไสยศาสตร์ ดังนั้นฝ่ายไทยต่างหากที่ทรยศและทำลายเมืองหลวงของกัมพูชาในขณะนั้น ซึ่งนำไปสู่การที่คนกัมพูชาต้องย้ายไปทางตะวันออกเพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตีของไทยในอนาคต)
โศกนาฏกรรมคือทั้งสองชาติใช้การตีความและเลือกอ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นกว่าสี่ศตวรรษที่แล้ว เพื่อสร้างทัศนคติลบต่ออีกฝ่าย ผ่านการเรียนการสอนในโรงเรียนและใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นนำ เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องสร้างศัตรู สร้าความเป็นอื่น (the other) เพื่อกล่าวโทษและดูถูก เพื่อรวม (และเอาเปรียบ) ผู้คนของชาติตน ให้สามัคคี และปลูกฝังอุดมการณ์คลั่งชาติเพื่อรับใช้ชนชั้นปกครอง
ถัดไปคือความเชื่อที่ว่าคนกัมพูชาเป็นคน เนรคุณ ในสายตาของคนไทยคลั่งชาติ ความเชื่อนี้ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงความขัดแย้งปัจจุบัน และอยู่บนพื้นฐานของการจดจำประวัติศาสตร์แบบเลือกจำเฉพาะส่วน ที่ว่าครั้งหนึ่งในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ช่วงสงครามอินโดจีน หรือสงครามเย็น ไทยได้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อช่วยเหลือคนกัมพูชาที่หนีการรุกรานของเวียดนามในปี 1978 ค่ายเหล่านี้ดำเนินการตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 จนถึงปี ค.ศ.1993 และในช่วงที่พีคที่สุดในปี 1980 มีคนกัมพูชามากถึง 160,000 คนมาขอที่พักพิง และคนไทยหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดีหนึ่ง ได้ไปทำงานให้กับองค์กร NGO ต่างชาติที่ดำเนินงานช่วยเล่อคเขมรลี้ภัยในค่ายเหล่านี้
(หมายเหตุ: กัมพูชาบอกว่าค่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับทุนจากสหประชาชาติ, สภากาชาดสากล และองค์กรระหว่างประเทศอีกมากมาย ส่วนการมีส่วนร่วมของไทยไม่ได้ให้เป็นเงินเป็นหลัก แต่เพียงแค่จัดหาที่ดินและรักษาความปลอดภัย และมองว่ารัฐไทยยุคนั้นใช้ค่ายผู้ลี้ภัยเป็นแนวกันชนเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งทางทหารระหว่างกัมพูชากับเวียดนามลุกลามเข้ามาถึงประเทศไทย)
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่คนไทยจำนวนมากว่าคนกัมพูชา ลอกเลียนแบบ, อ้างสิทธิ์ และเคลมวัฒนธรรมไทยหลายอย่าง ที่แท้จริงแล้วเป็นของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม, เครื่องแต่งกายแบบโบราณ, การเล่นน้ำสงกรานต์ และมวยไทย คนไทยบางคนเรียกกัมพูชาว่า “Claimbodia”
(โปรดทราบว่าคนกัมพูชารู้สึกว่าคนไทยลอกเลียนแบบวัฒนธรรมของพวกเขาเช่นกัน และพวกเขามองว่าวัฒนธรรมของพวกเขาเป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมไทย เพราะคนไทยลอกเลียนแบบไปมากหลังจากการโจมตีกัมพูชาในช่วงสมัยอยุธยา ซึ่งรวมถึงการตีเมืองละแวกด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่คนกัมพูชาเชื่อว่าวัฒนธรรมไทยเป็นเพียงแค่ของปลอม ลอกเลียนแบบจากวัฒนธรรมกัมพูชา และพวกเขาเรียกประเทศไทยว่า LieLand (ดินแดนแห่งการโกหก) และพูดกับคนไทยว่า “Don't Thai to me” ซึ่งแปลว่า อย่ามาโกหกฉัน
ในประเด็นว่าชาติไหนลอกเลียนแบบศิลปะการต่อสู้มวยของอีกชาติ ติอาโก้ เตเซย์รา นักมวยชาวบราซิลผู้มีชื่อเสียง ในการส่งเสริมมวยโบราณของกัมพูชาที่เรียกว่า “กุน ขแมร์” และตอนนี้เป็นพลเมืองกัมพูชา ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเมื่อคืนวันเสาร์ (2 สิงหาคม 2568) หลังสงครามที่ไม่ได้ประกาศได้ยุติ และมีการสงบศึก โดยโพสต์บนหน้า Facebook ของเขา ซึ่งขอนำมาลงโดยทั้งหมดว่า:
“ในปี 2023 กัมพูชาเปลี่ยนชื่อศิลปะการเตะมวยประจำชาติของตนว่า “กุน ขแมร์”
ไทยไม่ชอบสิ่งนี้
นักชาตินิยมกล่าวว่าเป็นการขโมย
ที่ว่ามวยไทยมาก่อน กัมพูชาลอกเลียนแบบ
แต่เดี๋ยวก่อน
มีภาพแกะสลักโบราณที่นครวัดแสดงภาพนักมวยกำลังกอดรัดกัน ซึ่งมีมาก่อนที่คำว่า “มวยไทย” จะมีขึ้นหลายศตวรรษ
และทั้งสองประเพณีมีเทคนิค, พิธีกรรมการฝึกซ้อม, แม้แต่องค์ประกอบทางจิตวิญญาณร่วมกัน
ความจริงคือ ศิลปะการต่อสู้เหล่านี้ไม่ได้มาจากเพียงประเทศเดียว
มันวิวัฒนาการร่วมกัน ข้ามพรมแดน ผ่านสงคราม ผ่านการอพยพ
ประเทศไทยเปลี่ยนมวยไทยให้เป็นแบรนด์ระดับโลก
กัมพูชาที่กำลังฟื้นตัวจากสงคราม กำลังพยายามทวงคืนรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตน
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ว่าใครมาก่อน
มันคือการยอมรับว่าความภาคภูมิใจไม่จำเป็นต้องลบเลือนที่มา
ในปี 2024 ทั้งสองประเทศตกลงกันอย่างเงียบๆ:
* กุน ขแมร์ และมวยไทยจะได้รับการยอมรับว่าเป็นกีฬาที่แยกจากกัน
* ไม่จำเป็นต้องแข่งขัน ทั้งสองสามารถเติบโตได้
แต่ในโลกออนไลน์ สงครามยังไม่หยุด
วิดีโอ, มีม, การดูถูก: มียอดวิวหลายล้าน
วัฒนธรรมกลายเป็นสมรภูมิอีกครั้ง”
—
ทีนี้ แทนที่จะถามคนกัมพูชาที่ผมรู้จักว่าพวกเขาถูกสอนที่โรงเรียนมาอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับกัมพูชา และมันส่งผลต่อมุมมองที่พวกเขามีต่อคนไทยและประเทศไทยอย่างไร ผมตัดสินใจใช้ AI เข้ามาช่วย โดยเชื่อว่ามันไม่ได้รับผลกระทบจากการปั่นความรู้สึกคลั่งชาติและชาตินิยม และความเจ็บปวดจากการสูญเสียอันเกิดจากสงคราม ที่กำลังส่งผลกระทบต่อคนไทยและกัมพูชาหลายสิบล้านคนในปัจจุบัน
และนี่คือคำตอบ ‘ที่เป็นกลาง’ ที่ผมได้รับจาก Gemini ภายในไม่กี่วินาที (แทนที่จะใช้เจมิไนผลิต fake news กับ fake video เกี่ยวกับคุณมาลีและฮนเซน)
Gemini ตอบว่า:
“จากข้อมูลที่มีอยู่ หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาโดยทั่วไปจะนำเสนอความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมักจะขัดแย้งกับประเทศไทย ประเด็นหลักในเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์นี้ได้แก่:
* การเสื่อมถอยของจักรวรรดิเขมร: หนังสือเรียนของกัมพูชามักจะเชื่อมโยงการเสื่อมถอยอย่างค่อยเป็นค่อยไปของจักรวรรดิอังกอร์กับการผงาดขึ้นของชนชาติเพื่อนบ้าน รวมถึงคนไทย พวกเขาจะเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยซึ่งแยกตัวออกจากอำนาจของเขมร และการที่อาณาจักรอยุธยาของไทยเข้าปล้นนครธมในที่สุดในปี 1431 ซึ่งทำให้เมืองหลวงของกัมพูชาต้องย้ายไปทางใต้
* การสูญเสียดินแดนและอำนาจอธิปไตย: ประเด็นหลักคือการที่ดินแดนและอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาถูกกัดกร่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยเพื่อนบ้านที่ทรงอำนาจกว่าอย่างสยาม และเวียดนาม หนังสือเรียนจะลงรายละเอียดว่าสยาม “ค่อยๆ ฉีก” ดินแดนของกัมพูชาไปอย่างไร จนในที่สุดกัมพูชาก็กลายเป็นรัฐบรรณาการของสยาม เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ความกลัวว่าจะสูญสิ้น” นี้ถือเป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ประจำชาติของกัมพูชา
* ลัทธิล่าอาณานิคมและผลที่ตามมา: การที่ฝรั่งเศสเข้ามาเป็นรัฐในอารักขาถูกนำเสนอว่าเป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้กัมพูชาถูกสยามและเวียดนามกลืนกินอย่างสมบูรณ์ มรดกจากยุคนี้ถูกเน้นในเรื่องข้อพิพาทเรื่องชายแดน โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเหนือปราสาทพระวิหาร หนังสือเรียนอาจอธิบายว่าสนธิสัญญาปี 1904 ระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสได้กำหนดพรมแดนสมัยใหม่อย่างไร และการที่ไทยเข้ายึดครองปราสาทหลังการจากไปของฝรั่งเศสได้นำไปสู่คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 1962 ที่เข้าข้างกัมพูชา
* การยึดครองทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ประจำชาติ: ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ยังถูกจัดกรอบในแง่ของความเป็นคู่แข่งทางวัฒนธรรมด้วย เนื้อหาการเรียนของกัมพูชาอาจเน้นย้ำถึงต้นกำเนิดของชาวเขมรในแง่มุมบางอย่างของวัฒนธรรมไทย เช่น ศิลปะ, สถาปัตยกรรม และแม้แต่ศิลปะการต่อสู้ และนำเสนอว่าคนไทยพยายามที่จะยึดครองสิ่งเหล่านั้น สิ่งนี้มักเชื่อมโยงกับการปกป้องวัฒนธรรมและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชาอย่างดุเดือด
สรุปได้ว่า หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชามักจะนำเสนอเรื่องราวที่ว่ากัมพูชา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ต้องเผชิญกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเสื่อมถอย, การสูญเสียดินแดน และการรุกล้ำทางวัฒนธรรมเนื่องจากการกระทำของมหาอำนาจเพื่อนบ้าน โดยประเทศไทยเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องเล่านี้ มุมมองทางประวัติศาสตร์นี้มีส่วนช่วยสร้างความภาคภูมิใจในชาติและท่าทีที่ปกป้องมรดกและอำนาจอธิปไตยของตน”
—
อ่านเจบแล้ว ผู้ที่มีใจเป็นธรรมจะเห็นได้ในตอนนี้ ว่าคนจำนวนมากทั้งสองฝ่าย ทั้งคนไทยและคนกัมพูชา ถูกถ่วงในติดอยู่กับอดีต และทัศนคติที่เป็นลบต่อประเทศเพื่อนบ้านตน ผ่านการได้รับการสอน ตีความ และจดจำประวัติศาสตร์ในอดีตแบบเลือกเฉพาะส่วน ในเวอร์ชั่นที่ชนชั้นนำของชาติตนอนุมัติ และมีมุมมองแบบเหมารวมต่อคนประเทศเพื่อนบ้าน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความขัดแย้งครั้งล่าสุดในปัจจุบันนี้ จึงมิใช่แค่ความขัดแย้งระหว่าง ตระกูลฮุน กับ ตะกูลชินวัตร อีกต่อไป และบานปลายขยายวงไปเร็วและกว้างมาก ระเบิดออกมาจนควบคุมไม่ได้ เพราะการสอนประวัติศาสตร์คลั่งชาติที่หมักหมมมานานปี และการจดจำประวัติศาสตร์แบบเลือกเฉพาะส่วน ซึ่งถูกบิดเบือนโดยชนชั้นปกครองของทั้งไทยและกัมพูชามานานหลายทศวรรษ หรืออาจจะนานกว่านั้น เพือรับใช้ชนชั้นนำและรัฐ
ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่เลือกจำเสมอ และมักมีอคติ เราไม่สามารถเล่าหรือจดจำทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตได้ และเรามักจะตีความอดีต และประวติศาสตร์ แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่ข้ออ้างสำหรับการทำสงคราม หรือประดิษฐ์ความเป็นศัตรูระหว่างกัน แต่คนไทยและคนกัมพูชา ควรตระหนักถึงปัจจัยที่ปลุกปั่นระ สร้างความบาดหมาง ที่มากและลึกกว่าความขัดแย้งของสองตระกูลมากนัก
ประเทศไทยและกัมพูชามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายกัน เราดูถูกซึ่งกันและกัน เราเกลียดชังกัน และเราได้เปลี่ยนเพื่อนบ้านของเราที่มีพรมแดนร่วมกันยาวกว่า 800 กิโลเมตรให้กลายเป็นศัตรูของเรา
ผมคิดว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้หากเราได้ไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ที่มีปัญหาของเราอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่การเลือกจดจำ และตีความประวัติศาสตร์แบบที่ถูกป้อนให้เราโดยชนชั้นปกครอง ซึ่งไม่ได้สูญเสียอะไรเลยจากสงคราม แต่ได้ทุกอย่างจากการสอนและปลูกฝังประวัติศาสตร์คลั่งชาติ
#ป #ไทย #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา #ประวัติศาสตร์
....
See the article which first appeared on Khaosod English here: https://www.khaosodenglish.com/.../time-to-face-the.../...
https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/4285604858333999