อ่านข้อเขียนเมื่อวานของ อจ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ชวนให้เห็นจริงเห็นจังตามนั้น หมู่บ้านสร้างเมือง และเมืองสร้างชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำให้เกิดบุคคลิกเด่นของตำบล (หรือย่าน) ความก้าวหน้าและขยายตัวของย่าน กลายเป็นเมืองที่เข้มแข็ง
อจ.พิชญ์เริ่มบทความอย่างยาวของเขาจากประเด็นเล็กๆ ที่ว่า ‘มาดามแป้ง’ “สนใจสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในครั้งหน้า” ซึ่งเป็นเวลาอีกราว ๑ ปี โดยเน้นว่าสิ่งที่เขียนถึง (หรือวิเคราะห์) ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคลผู้สมัคร แต่ยอมรับอยู่บ้างในทีว่าเชียร์คนเก่า
จริงๆ แล้วแก (ขออนุญาตถือวิสาสะใช้สรรพนาม) ว่าถึงเรื่องการเก็บขยะของ กทม.เป็นหลักใหญ่ อันเนื่องมาจากการ ‘บังคับ’ แยกขยะแล้วเก็บค่าบริการเพิ่มสามเท่า ที่บ้านแกขึ้นจาก ๒๐ เป็น ๖๐ แล้ว “อยู่ดีๆ” ลดวันเก็บจาก “สัปดาห์ละสองครั้ง มาเป็นสัปดาห์ละครั้ง”
แกถามว่า “สัปดาห์นี้ถ้ารถขยะไม่มาเก็บหน้าบ้านผมเนี่ย ผมจะฟ้องร้องที่ไหน ผมจะได้ค่าชดเชยอะไรไหม เหมือนกับไฟดับ น้ำไม่ไหล มีการชดเชยไหม” แกให้ตัวอย่าง “กรณีของสัญญาณมือถือที่หายไป บริษัทนั้นชดเชยให้กับผู้บริโภค”
ส่วนประเด็น “มันเป็น pain point ของใคร” เราขอผ่าน เพราะไม่ใช่คนแถวนั้น “จะไปรู้เรื่องอะไร” จุดสนใจอยู่ที่ ‘วาระการพัฒนากรุงเทพฯ’ ตามที่แกเสนอ ให้ “ต้องช่วยกันขับเคลื่อน” ทั้ง “สื่อ สถาบันการศึกษา ประชาสังคม จะช่วยกันคิด”
แต่ข้อสำคัญต้องไม่ทำในแนว “ผ้าป่าสามัคคี คือทำกันสั้นๆ ขาดองค์กรที่จะขับเคลื่อนจริง และเป็นองค์กรที่ไม่ได้ต้องการจะมาเป็นผู้บริหารเอง” เสียอีก หากต้องตั้งคำถาม “ว่า เราจะเป็นแบบอย่างอะไรให้กับโลก ไม่ใช่แค่จะเอาส่วนอื่นของโลกมาไว้ที่เรา”
จารย์พิชญ์บอก “ไม่ได้เว่อร์ แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เท่ากับศักดิ์ศรีของกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองระดับโลก และได้อันดับหนึ่งมากมาย และมีชื่อเสียงในหลายเรื่องมากกว่าประเทศไทยเสียอีก”
ดังนั้น “ต้องคิดร่วมกันว่าถ้ากรุงเทพฯมันน่าเที่ยวขนาดนี้ มีอาหารที่ดีขนาดนี้ ติดอันดับที่มีค่าครองชีพแพงขนาดนี้ และมีอะไรอีกมากมายที่ท้าทายขนาดนี้ ทำไมเราไม่ร่วมกันทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ แล้วทำให้มันเป็นจักรกลที่ทำให้ประเทศมันดีขึ้นไปกว่านี้ได้อีก”
นี่ไง คือทำให้กรุงเทพฯ เป็นกระดูกสันหลังตั้งตรงของประเทศไทยจริงๆ