วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2568

แต่เดิม ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ให้ ทักษิณ กลับไทยเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่ผลที่เกิดขึ้นออกมาตรงกันข้าม - 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย ประเทศชาติได้อะไร?



2 ปี ทักษิณ "ดีลกลับบ้าน" การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะ Deep Freeze

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
บีบีซีไทย
21 สิงหาคม 2025

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เคยเปรียบเปรยการใช้ชีวิตในต่างประเทศภายหลังถูกยึดอำนาจในปี 2549 ว่าเป็นการ "ติดคุกใหญ่" ต้องทุกข์ทรมาน-ถูกกีดกันไม่ให้อยู่กับครอบครัว

22 ส.ค. 2566 เขาตัดสินใจกลับไทย "แลกกับการได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว" โดยที่คนนอกไม่อาจรู้แน่ชัดว่าเขาเอาอะไรไปแลก

สิ่งที่สังคมเห็นคือสภาพการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการจัดตั้งรัฐบาล 2 ชุดภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย (พท.) และต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอน ณ ปัจจุบันจาก 3 คดีสำคัญ

"คดีมาตรา 112" และ "คดีชั้น 14" ของอดีตนายกฯ ผู้พ่อ

"คดีคลิปเสียง" ของนายกฯ ผู้ลูก

บีบีซีไทยพูดคุยกับ 2 บุคคลแบบต่างกรรมต่างวาระ ชวนมองให้ทะลุถึงเบื้องหลัง "ดีลกลับบ้าน" ภารกิจที่ต้องทำ และสำรวจพลังอำนาจของ ทักษิณ ในภาวะที่นักรัฐศาสตร์ชี้ว่าการเมืองไทยถูก "ดีพฟรีซ" (Deep Freeze) หรือแช่แข็งลึก

คนหนึ่งคือ ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผู้ครุ่นคิดเรื่องระบอบการเมืองและบัญญัติคำว่า "ระบอบทักษิณ"

อีกคนคือ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตนักการเมืองซึ่งเคยอยู่ในโครงข่ายอำนาจของนายกฯ "ตระกูลชินวัตร" ในฐานะอดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "ทักษิณ 2" และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"

นี่คือมุมมองของ ศ.ดร.เกษียร-สุรนันทน์ ในวาระครบ 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย

"ขออนุญาต (ใคร) กลับบ้าน"

กำหนดการเดินทางกลับไทยของ ทักษิณ ถูกปรับ-เปลี่ยนอย่างน้อย 3 รอบนับจากครั้งแรกที่ประกาศผ่านบัญชีทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือเอกซ์) เมื่อเดือน พ.ค. 2566 ว่า "ขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน" ในช่วงที่กำลังจะได้หลานคนที่ 7 จาก แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้อง ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนในสังคมว่า ทักษิณ กำลัง "ขออนุญาต" ใคร

สุรนันทน์ ระเบิดหัวเราะรับคำถามนี้ ก่อนตีความว่า "ผมว่าขออนุญาต Establishment คือชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ที่มีความไม่ไว้วางใจสูง" เพราะไม่ว่ารัฐประหาร 2549 และ 2557 ล้วนดำเนินการขับเคลื่อนโดยฝ่ายจารีตนิยม/อนุรักษนิยม

ในทางกลับกัน ทักษิณ อาจไม่ไว้วางใจว่ากลับมาแล้วจะได้รับการต้อนรับในลักษณะไหน สุรนันทน์ คาดว่า สิ่งที่อดีตผู้นำต้องการมี 2 อย่างคือ 1. การรับประกันความปลอดภัย เพราะก็มีศัตรูเยอะ และ 2. การปฏิบัติที่ไม่ใช่ลักษณะของนักโทษ 100% คือมาถึงรวบคาสนามบิน ใส่กุญแจมือ จับขึ้นรถ เพราะ ทักษิณ พูดเสมอว่า "อยากกลับบ้านอย่างเท่ ๆ" แม้การต้อนรับที่สนามบินอาจไม่เท่ 100% แต่อย่างน้อยก็ให้เกียรติในฐานะอดีตนายกฯ

"มันต้องมีคนอนุมัติ ต้องมีคนเปิดทางให้ ซึ่งผู้มีอำนาจ ณ ตอนนั้นและเป็นผู้มีอำนาจมา 10 ปีก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 และอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) มันปฏิเสธไม่ได้ อาจจะมีการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับคนอื่น เราไม่รู้ เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีหลายระดับ แต่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ต้องรับผิดชอบ ณ จุดนั้น" สุรนันทน์ กล่าว


สุรนันทน์ เชื่อว่า การที่อดีตนายกฯ ออกมาเดินโบกไม้โบกมือทักทายประชาชนที่สนามบินดอนเมืองเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ได้ "ต้องมีคนให้ไฟเขียว" เพราะถ้าไม่มีการสั่งการและวางกรอบเอาไว้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ศ.ดร.เกษียร ออกตัวว่าเข้าไม่ถึงข้อมูลจริง แต่เมื่อดูหลักฐานแวดล้อมเห็นได้ชัดว่าคำว่า "ขออนุญาต" คนที่ให้อนุญาตเป็นการตัดสินใจทางการเมือง เพราะเงื่อนไขในการอนุญาตต้องมีการปรับแต่งเงื่อนไขทางกฎหมาย แปลว่า "ใช้การตัดสินใจทางการเมืองไปปรับแก้เงื่อนไขบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับโทษของคุณทักษิณ คือการสร้าง State of Exception (สภาวะยกเว้น) ขึ้น" โดยหลักคิดในทางรัฐศาสตร์ ในระเบียบการเมืองหนึ่ง การตัดสินใจทางการเมืองเพื่อสร้างสภาวะยกเว้นทางกฎหมาย ทำได้เฉพาะผู้กุมอำนาจอธิปไตยเท่านั้น

"ดังนั้นคำว่า 'ใคร' เงื่อนไขแวดล้อมทั้งหมดบ่งชี้ว่าคน ๆ นั้นเขามีอำนาจ เป็นอำนาจทางการเมืองและถึงระดับผู้ใช้อำนาจอธิปไตย" ศาสตราจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าว

สิ่งที่ผู้นำพเนจร-ผู้มี 3 คดีทุจริตติดตัว (เฉพาะที่ยังไม่ขาดอายุความ) อาจไม่คาดคิดมาก่อนประกาศกลับบ้านคือ การถูกพรรคก้าวไกลยัดเยียดความปราชัยให้เมื่อ 14 พ.ค. 2566 หยุดสถิติพรรคไม่เคยแพ้ในสนามเลือกตั้งไว้ที่ 22 ปี

สุดท้ายวัน ว. เวลา น. กลับไทย จึงมาลงเอยในวันเดียวกับที่รัฐสภาลงมติเลือก เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พท. เป็นนายกฯ คนที่ 30

ข้อวิเคราะห์ของ ศ.ดร.เกษียร คือ การที่ต้นทุนเปลี่ยน ไม่ได้ชัยชนะอย่างที่หวัง การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขมันวิ่งกลับไปที่ผู้กุมอำนาจอธิปไตย วิ่งกลับไปที่คนดีลคนแรก ไม่ได้เท่าเดิมแล้วนะ ต้องปรับเงื่อนไขอย่างไรให้เป็นไปได้ เลยขยับไปขยับมา พะวักพะวนกลับไปกลับมา

ฝ่ายขวาไม่เป็นเอกภาพ ชนวนเกิด "นิติสงครามขัดขวางดีล"

นอกจากกลับมาเหยียบแผ่นดินในห้วงเวลาที่พรรค พท. ลงสู่จุดต่ำสุด ทักษิณ ยังต้องจ่ายต้นทุนเพิ่มจากการไม่ยอมติดคุกแม้แต่คืนเดียว เขาถูกย้ายตัว "ฉุกเฉิน" ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครกลางดึกของ 22 ส.ค. 2566 ไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 และพักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งได้รับการ "พักโทษเป็นกรณีพิเศษ" เมื่อ 18 ก.พ. 2567

เมื่อมองย้อนกลับไป ศ.ดร.เกษียร คิดว่ามีการผสมของสิ่งที่มีการคิดคาดการณ์วางกรอบไว้ล่วงหน้า กับสิ่งที่คิดเฉพาะหน้าตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป ทว่าส่วนผสมหลังมีมากกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าฟังจากคำให้การของ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ในศาลฎีกาฯ เรื่องหมอแจ้งป่วย การจัดการของ รพ.ราชทัณฑ์ หรือ รพ.ตำรวจ เป็นการคิดแบบเฉพาะหน้ามาก ทำให้การเกลี่ยไม่เรียบ
"หน้าที่ของฝ่ายการเมืองผู้กุมอำนาจอธิปไตยคือ ทำอย่างไรจะเกลี่ยเงื่อนไขตรงนี้ให้รับได้กับฝ่ายกฎหมาย พอมีการเปลี่ยนสถานการณ์ ผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามคาด มีการต่อรองกลับไปกลับมา การเกลี่ยเลยไม่เรียบ นำไปสู่การขึ้นศาล ถูกไต่สวนต่าง ๆ"


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งว่าการบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลถูกต้องหรือไม่ โดยมีหมายเรียกให้ ทักษิณ ไปฟังคำสั่งด้วยตนเอง 9 ก.ย.

"แต่ทั้งหมดนี้อาจไม่เป็นปัญหาก็ได้ถ้าฝ่ายขวาเป็นเอกภาพ" ศ.ดร.เกษียร พูดพลางหัวเราะ ก่อนยกเหตุผลสนับสนุนว่า พลังอนุรักษนิยมเป็นปฏิปักษ์กับ ทักษิณ มาตลอด และตอนนี้ก็เพิ่มโจทย์ว่าจะทำอย่างไรกับพรรคส้มดีขึ้นมาอีก ไม่ได้เป็นเอกภาพ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็แตกออกเป็นเสียง "พรรคลุงตู่" กับ "พรรคลุงป้อม" พอมีดีลกรณี ทักษิณ อย่างน้อยมีอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ หรือคิดว่าการเกลี่ยออกมารูปแบบนี้ไม่ใช่ที่เขารับได้

"ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองกฎหมายเป็นเครื่องมือ passive (เชิงรับ) เพื่อให้ดีลทางการเมืองนี้จบสิ้นผ่านไปได้ อีกฝ่ายมองกฎหมายกลับกันคือเป็นเครื่องมือที่จะต่อต้านดีล เลยทำนิติสงครามกลับตาลปัตร ใช้นิติสงครามขัดขวางดีลนี้เพราะคุณเกลี่ยไม่เรียบ"

นักรัฐศาสตร์รุ่นใหญ่ชี้ชวนให้กลับไปพิจารณาที่ปัญหามูลฐาน "ตั้งแต่ผลัดแผ่นดิน อนุรักษนิยมไม่เป็นเอกภาพ ระดับการปรับตัวของฝ่ายขวามีไม่เท่ากัน บางคนพร้อมปรับรับเงื่อนไขใหม่ บางคนยังยึดติดกับระเบียบแบบเก่า หรือไม่เห็นที่ทางของตัวในอนาคตว่าในระเบียบใหม่เขาจะอยู่ตรงไหน เพราะภูมิทัศน์การเมืองมันเปลี่ยน... น่าสนใจอย่างหนึ่งคือกลุ่มรวมพลังแผ่นดินสู้เขมร คือคนที่ไม่มีบทบาทชัดเจนทั้งสิ้น"

ในมุมมองของ ศ.ดร.เกษียร ไม่มีฉันทามติในกลุ่มอนุรักษนิยมโดยรวมว่าทักษิณอยู่ตรงไหน มีบทบาทอะไร มีตำแหน่งใดในช่วงเปลี่ยนผ่าน แค่ทำให้พรรค พท. ตั้งรัฐบาลเพื่อกีดกันพรรคส้ม กีดกันการเปลี่ยนแปลงแบบไม่พึงประสงค์ หรือควรจะทำได้มากกว่านั้น ความต่างตรงนี้ทำให้ท่าทีต่อทักษิณ ที่เริ่มเคลื่อนไหวแตกต่างกัน

อภิสิทธิ์ชน ใน ปรากฏการณ์ก้อนหิมะ

สิ่งที่สังคมไม่รู้จนถึงทุกวันนี้คือ ก่อนอดีตผู้นำซึ่งมีสถานะ "นักโทษหนีคดี" จะกลับไทย มีการเจรจากี่รอบ กี่วง ใครเป็นตัวแทนพูดคุยบ้าง รายละเอียดของสัญญาเป็นอย่างไร เหล่านี้คือสิ่งที่ สุรนันทน์ สงสัยเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่าน่าจะมีช่องโหว่ในการสื่อสารบางประการ และเมื่อมีการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ก็ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และปฏิบัติตามกฎของทางราชทัณฑ์

"ดีลคือให้คุณได้กลับบ้านแล้วคุณเข้าสู่กระบวนการ แต่ขั้นตอนที่เกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา ผมไม่คิดว่าเป็นดีลของกลุ่มคนที่คุยกันว่าให้คุณทักษิณกลับมา กลับมาแล้วบ้านเมืองจะได้สงบ เขาคาดหวังอย่างนั้น มันไม่เกี่ยวกับขั้นตอนรายละเอียดที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นและเหตุการณ์ต่อ ๆ มา"

จากเคยรับบท "เหยื่อ" ผู้ถูกยัดข้อหา-โดนกระทำซ้ำซากในรอบ 2 ทศวรรษ ทักษิณ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษโดยระบุว่า "ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา"

แม้เห็นใจที่นายเก่าต้องระหกระเหินอยู่ในต่างแดน 17 ปี และเข้าใจความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นได้ แต่ สุรนันทน์ มองว่าเมื่อการดำเนินการต่าง ๆ ไม่ระมัดระวังและออกไปจากกระบวนการที่ควรจะเป็น ความชอบธรรมของ ทักษิณ จึงลดน้อยถอยลง

"คนก็จะบอกว่าท่านรับผิดแล้วนี่ และในหลวงทรงมีพระเมตตาอภัยลดโทษให้ ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น อย่าลืมว่าประชาชนในประเทศไทยมีความรู้สึกอยู่แล้วว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นอภิสิทธิ์ชน เวลาทำอะไรผิด ขับรถชนคนตายก็ไม่ติดคุก ขณะที่ลูกคนธรรมดาขับรถชนคนตาย ติดคุกตลอดชีวิด ที่ผ่านมาคุณทักษิณต่อสู้ในฐานะตัวแทนของคนด้อยโอกาส คนไม่มีสิทธิมีเสียง คนชนบท กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มที่เป็นฐานเสียงตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ก็จะรู้สึกว่าท่านคือคนที่ปกป้อง ร่วมต่อสู้กับคนด้อยโอกาส แต่พอท่านกลับมาแล้ว อ้าว คุณก็อภิสิทธิ์ชนนี่หว่า"

อดีตนักการเมืองรายนี้เชื่อว่า หาก ทักษิณ ยอมติดคุก 180 วัน แล้วเข้าเกณฑ์พักโทษตามระเบียบราชทัณฑ์ ความรู้สึกของผู้คนจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อเลือกหนทางไม่ติดคุก พอไปบวกกับสถานะทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล "เศรษฐา" ซึ่งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 2566 ว่าเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" และ "ไม่จับมือ 3 ป." เหมือนเป็นคนละเหตุการณ์ แต่เป็นเรื่องเดียวกันและทำให้คนเกิดความรู้สึก

"พอเกิด 2 เหตุการณ์ มันเลยเหมือนมี Snowball Effect (ปรากฏการณ์ก้อนหิมะ - สถานการณ์ที่บางสิ่งเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ก่อตัว เพิ่มความสำคัญหรือขนาดและอาจเกิดความเสียหายร้ายแรง) มันบวกกันไป แล้วไปว่ากันเองด้วยซ้ำ อ๋อที่ตระบัดสัตย์ก็เพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน และเมื่อท่านได้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องอยู่ในคุก ทำให้เพื่อไทยยอมย้ายข้าง ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร แต่มันไปไกลแล้วทางการเมือง มันทำให้ประชาชนเชื่อไปแล้ว"


แพทองธาร ขอบคุณเพื่อนร่วมรัฐบาลในงานเลี้ยงพรรคร่วมฯ เมื่อ 22 ก.ค. พร้อมคาดหวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมาทำ "รับใช้พี่น้องประชาชน รับใช้สถาบัน" หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำนิจฉัย "คดีคลิปเสียง" คุยกับประธานวุฒิสภากัมพูชา

ไม่เพียงชนชั้นนำที่รู้สึกว่าถูกละเมิดเงื่อนไขในดีล "คืนความสงบให้ประเทศ" แต่ ทักษิณ เองคงรู้สึกไม่ต่างกัน สะท้อนผ่านคำปาฐกถาแรกของเขาในวาระครบปีที่เดินทางกลับไทยและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มขั้น

"ตอนบินกลับมา เครื่องบินช้า กว่าจะถึงบ้านใช้เวลา 6 เดือน ต้องไปแวะ รพ.ตำรวจ" ทักษิณ กล่าวในงานดินเนอร์ทอล์กจัดโดยเครือเนชั่นเมื่อ 22 ส.ค. 2567

ต่อมา 17 ก.พ. 2568 อดีตประมุขฝ่ายบริหารถูกถามถึงดีลกลับประเทศบนเวทีปาฐกถาจัดโดย อสมท. เขาปฏิเสธว่า "ทางการเมืองไม่มีครับ ไม่มีดีลการเมืองกับใครเลย"

ผู้ดำเนินรายการยิงคำถามต่อ แสดงว่าไม่ใช่ดีลการเมือง แต่เป็นดีลอย่างอื่น ทักษิณ ถึงกับชะงัก ลดระดับไมโครโฟนลงต่ำ ก่อนเอ่ยว่า "ไม่ได้ดีล" แต่ผู้ดำเนินรายการยังไม่ลดละ ถามย้ำว่าไม่มีดีลการเมือง แล้วเป็นดีลแบบไหน อดีตนายกฯ ยังมีท่าทีอึกอัก-ยิ้มเจื่อน

"ไม่มีครับ ผมกลับมาแล้ว ผมจึงเข้าสู่ระบบ และก็ไปกราบบังคมทูลฯ ขอพระราชทานพระเมตตา ก็ได้รับพระเมตตา แค่นั้นเอง" ทักษิณ ตอบ

ย้อนจุดกำเนิด "ระบอบทักษิณ" ก่อนรับดีล "แช่แข็งลึกการเมือง"

ในปี 2541 นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จก่อนผันตัวมาทำงานการเมือง-ก่อตั้งพรรค ทรท. ได้รับการขนานนามว่า "อัศวินคลื่นลูกที่ 3" "ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง" ในช่วงรัฐบาล "ทักษิณ 1" (2544-2548) ก่อนทะยานสู่อำนาจสูงสุดในฐานะผู้นำรัฐบาลพรรคเดียว (2548-2549) หลังนำไทยรักไทยคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้ง 2548 ด้วยยอด สส. 377 เสียง

เมื่อพินิจปัจจุบัน หลังเปลี่ยนตัวนายกฯ จาก เศรษฐา เป็น แพทองธาร ในปี 2567 พ่อนายกฯ วัย 76 ปี ต้องออกหน้า-แสดงพลังเพื่อรักษาสถานะของบุตรสาว แต่ดูเหมือนฟอร์มของชายผู้ประกาศตัวเป็น "สทร." จะผิดแผกไปจากเมื่อ 20 ปีก่อน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

"ผมคิดว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจของไทยรักไทยหรือทักษิณยุคแรก เป็นความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่เกิดจากเขากล้ารุกทางการเมือง รุกต่อระเบียบอำนาจเดิม" ศ.ดร.เกษียร ให้ความเห็น

จากนั้นเขาไล่เลียงโจทย์บ้านเมือง-การเมืองไทยในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 จากการที่ "เทคโนแครตเจ๊ง" รัฐราชการล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค ขณะเดียวกัน "เลือกตั้งธิปไตย" คือการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแบบนักการเมืองบ้านใหญ่ยังเข้าไปแทรกแซงจนเทคโนแครตเสียผู้เสียคน และยังเจอ "โลกาภิวัฒน์สุดโต่ง" เมื่อทั้งหมดประกบเข้าด้วยกันจึงกลายเป็น "วิกฤตต้มยำกุ้ง"

ขณะที่ผู้นำรัฐบาลไทยรักไทยได้เข้ามารุกทางการเมือง ปรับเปลี่ยนดุลอำนาจของบ้านเมืองหลายอย่าง
  • ชาวบ้านกับรัฐราชการ: ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าเป็นบุคคลสำคัญ ใหญ่กว่าข้าราชการที่เคยเป็นเจ้านายเขา กลายเป็นลูกค้าที่ราชการต้องคอยบริการ และทำให้ระบบราชการต้องมาสยบสยอมต่อฝ่ายการเมือง
  • พรรคใหญ่คุมบ้านใหญ่: ทำให้บ้านใหญ่ต้องมาขึ้นสังกัดพรรคใหญ่ เหมือนสาขา 7-11 ต้องสังกัดสำนักงานใหญ่ซีพี (CP)
  • กลุ่มทุน: ทักษิณ สามารถเข้าไปเป็น "ผู้จัดการการตัดแบ่งเค้ก" ได้ แทนที่จะเป็นทุนผูกขาด ถ้าใครไม่ยอมก็จะโดนกดดันโดยอำนาจรัฐและอื่น ๆ
นักรัฐศาสตร์ผู้บัญญัติศัพท์ "ระบอบทักษิณ" เห็นว่า เงื่อนไขหลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งและการรุกคืบทางการเมืองได้สำเร็จ ทำให้ "ระบอบทักษิณเปล่งอานุภาพได้เต็มที่" ทั้งหมดนี้ทำในจังหวะที่รุกทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะปีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล "ทักษิณ 1" เป็นปีเดียวกับที่จีนเข้าเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เต็มตัว แปลว่าระเบียบการค้าโลกเปลี่ยน

"การดึงจีนเข้า WTO คือการดึงผู้ผลิตส่งออกหลักเชิงโครงสร้างเข้ามา ในขณะที่ระเบียบเศรษฐกิจแบบเดิม สหรัฐฯ คือผู้บริโภคนำเข้าหลักเชิงโครงสร้างหลักโลก มันจึงเกิดความสัมพันธ์คู่สวาทขึ้นมา 2 ฝั่ง โดย ทักษิณ และทีมที่ปรึกษากระโดดเข้าไปเต็มตัว ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าไปจับมือกับจีนเป็น 'คณะเสี่ยวเอ้อส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งมีจีนเป็นหัวหน้า' จังหวะนั้นเศรษฐกิจไทยจึงบูมตามจีน เพราะเชื่อมการผลิตตัวเองเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของจีน" ศ.ดร.เกษียร มองย้อนกลับไป


ศ.ดร.เกษียร เห็นว่า ความแตกต่างของ ทักษิณ ในปัจุบันคือ "ด้อยอำนาจรัฐลง ด้อยอำนาจทางการเมืองลง ด้อยคำตอบในโจทย์ที่เปลี่ยนไป"

กลับมาดูสถานการณ์ของรัฐบาล "แพทองธาร" อาจารย์เกษียรเห็นว่า ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน ไม่มีจีน-สหรัฐฯ มีแต่สงครามการค้าและสงครามเย็นรอบ 2 แปลว่าห่วงโซ่อุปทานที่จีนวางไว้แล้วไทยสังกัดอยู่ในนั้น มันต้องเปลี่ยนที่ แล้วไทยอยู่ตรงไหน จะร่วมกับจีนต่อหรือสร้างห่วงโซ่อุปทานขึ้นใหม่ จะเชื่อมกับอเมริกาอย่างไร เช่นเดียวกับภูมิทัศน์อำนาจในประเทศที่เปลี่ยนไปภายใต้ คสช. ระบบราชการนำโดยทหารแข็งแกร่งขึ้น บ้านใหญ่ไปสยบทหาร ส่วนมวลชนเสื้อแดงที่ช่วงหนึ่งเคยเชื่อมกับพรรคทักษิณแบบหลวม ๆ ก็ไม่ได้รักผูกพันแนบแน่นแบบเดิม

ศ.ดร.เกษียร กล่าวว่า กลับมารอบนี้ ทักษิณ ไม่ได้รุกการเมือง ไม่มีพันธมิตรการเมือง ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมที่เคยอยู่ ตรงกันข้ามเขารับดีลที่จะ Deep Freeze (แช่แข็งลึก) การเมืองไทย การห้ามแตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงอาการแสดงออกด้านบน แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการไม่พยายามไปขยับรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นระเบียบอำนาจที่ฝ่ายเลือกตั้งมีตัวสกัดเต็มไปหมดและถูกคุมพลังอำนาจไว้

"ดังนั้นคนที่มาหาคุณทักษิณด้วยความประทับใจในภาพจำที่มีต่อคุณทักษิณ อันนี้จะเป็นคนที่ทำร้ายคุณทักษิณที่สุด เพราะแกทำให้ไม่ได้หรอก" ศ.ดร.เกษียร กลั้วหัวเราะ ก่อนพูดต่อไปว่า ภูมิทัศน์มันเปลี่ยนไปหมดแล้วทั้งในโลกและในประเทศไทย หากโยนความหวังเดิม ๆ ทิ้งไป แล้วมอง ทักษิณ เป็นตัวละครหนึ่ง ก็จะไม่ผิดหวัง แต่เนื่องจาก ทักษิณ เองก็หากินกับภาพจำนั้น หากินกับความคาดหวัง ก็ต้องทุกข์ทรมานไปเพราะเขาทำให้ไม่ได้

เทียบยุค ทรท. กับ สทร. ทำไม "นายใหญ่" ผิดฟอร์ม

สุรนันทน์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เข้าไปร่วมงานกับหัวหน้าพรรค "คิดใหม่ ทำใหม่" ด้วยความเชื่อมั่น 100% ในความตั้งใจของหัวหน้าพรรค ทรท. ส่วนฟอร์มที่ผิดไปในยุค สทร. บีบีซีไทยขอรวบยอดความคิดจากคำให้สัมภาษณ์ของ สุรนันทน์ สรุปเป็น 6 ปัจจัย ดังนี้
  • ศัตรูเก่า: การต่อสู้ในรอบ 20 ปี ไม่ได้เสริมสร้างให้ ทักษิณ เป็นวีรบุรุษ แต่ทำให้เกิดความขัดแย้งที่อดีตนายกฯ มีศัตรูทางการเมืองถาวร "ศัตรูทางการเมืองเก่า ๆ ที่ไม่ไว้วางใจอยู่แล้วชี้ให้เห็นเลยว่า กลับมาแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจและรุนแรงกว่าเดิมด้วย"
  • คิดใหม่: สิ่งที่พรรค พท. ทำ ไม่ได้เป็นนโยบายก้าวหน้าเหมือนสมัยพรรค ทรท. แต่กลายเป็น "ประชานิยมที่เสมือนจะไปซื้อเสียงกับประชาชนเพื่อที่จะกลับสู่อำนาจหรือคงอำนาจนั้นไว้" สร้างความผิดหวังให้คนที่เคยชื่นชอบ ทักษิณ และเชื่อว่าพรรค พท. จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ อีกทั้งเงื่อนไขทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปแล้ว ความคิดก้าวหน้าในสไตล์ทักษิณไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นโมเดล 20 ปีมาแล้ว
  • นายใหญ่: ทักษิณ อาจคิดว่าด้วยอำนาจ จะสามารถเอาทุกคนมาอยู่ใต้ร่มธงของตัวเองได้แม้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มีความพยายามบีบให้เข้าไปอยู่ในพรรค พท. ด้วยซ้ำ แต่ความจริงคือตอนนี้ทุกคนโตแล้ว "คุณอนุทิน (ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) ไม่ใช่เด็กเหมือนเดิม คุณเนวิน (ชิดชอบ ผู้มีบารมีพรรค ภท.) ก็เคยหักกับคุณทักษิณ คงมีบางอย่างที่ไม่อยากกลับมาอยู่ภายใต้ร่มธงนั้น เป็นพันธมิตรกันได้ เป็นพรรคร่วมฯ ได้ แต่ไม่เป็นลูกน้อง นั่นคือปัจจัยที่คุณทักษิณอาจประเมินผิด"
  • พรรคใหญ่: ข้าราชการซึ่งถือเป็น "พรรคใหญ่ที่สุด" เป็นอีกปัจจัยที่อดีตนายกฯ "ประเมินผิดมาก" เพราะพรรค พท. มีอำนาจครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 ปีก่อน อธิบดีคือคนที่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือนักการเมืองพรรคร่วมฯ ในช่วงปี 2562-2566 ตั้งมา จึงเห็นได้ว่าการสั่งงานราชการมีความยากลำบากตั้งแต่ยุคนายกฯ เศรษฐา ต่อเนื่องมาถึงยุคนายกฯ แพทองธาร ตอนนี้รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย จึงต้องแสดงอำนาจในการทุบ
  • ทุนใหญ่: ทุนเปลี่ยนไปสู่ยุคทุนพลังงาน เชื่อว่า ทักษิณ ซึ่งเป็นทุนยุคเทเลคอมเข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะอยู่ในกระบวนการเช่นกัน แต่เจ้าสัวหรือทุนที่ไม่ปรากฏเป็นเจ้าสัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ขยับมากขึ้น และอาจไม่ยอมรับหรือไม่ยอม ทักษิณ ทั้งหมด ส่วนทุนเก่าหลายคนก็อยู่ในขบวนการชนชั้นนำและมองว่าอดีตนายกฯ เป็นภัย
  • นายน้อย: การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของ แพทองธาร ในจังหวะที่ยังไม่พร้อม "ทำให้การเมืองยิ่งบิดเบี้ยวไปใหญ่" เพราะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองเลย ไม่สามารถสื่อสารทางการเมืองได้
2 นายกฯ ชินวัตร ในงานเสวนา "ปลดล็อกประเทศไทย" จัดโดย อสมท. เมื่อ 18 ก.ค. 2568

"ทักษิณหมอบไม่เป็น"

"คุณทักษิณมีดีลไม่มีดีล เราไม่รู้ แต่ท่านกลับมาติดค่ายกลของชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ที่วางเอาไว้ เพราะไม่มีทางเลือก อยากกลับบ้าน พอเดินเข้าไปปั๊บก็ติดค่ายกล ก็ต้องออกอาวุธ ต้องฟาดฟันไป ทีนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว มันบวกลูกสาวด้วย เพราะลูกสาววิทยายุทธยังไม่ถึง ยังช่วยตัวเองไม่ได้ คุณทักษิณก็ต้องฟาดฟันเพื่อทั้งปกป้องสถานะตัวเองและเพื่อรักษาลูกให้ได้ ต้องฝ่าไปให้ได้ มันก็เลยบาดเจ็บ สะบักสะบอม ถูลู่ถูกังไป"

ปัญหาคาใจของอดีตคนการเมืองซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นอยู่ในใจใครหลายคนคือ "ทำไมเราต้องติดกับอยู่ตรงนี้กับ 2 พ่อลูกด้วย" และ "ทำไมต้องเอาประเทศไปผจญกรรมด้วย"

ในสายตาของ สุรนันทน์ แพทองธาร ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะแดนสนธยามาเดือนกว่า เพราะไม่มีนายกฯ "การไม่ลาออก ผมมองว่าคือไม่ยอมแพ้ แต่มันทำให้ระบบเสีย" ถึงแม้ผลการตัดสินคดีคลิปเสียงจะออกมาเป็นคุณแก่นายกฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าความชอบธรรมจะกลับคืนมา

เช่นเดียวกับคดีชั้น 14 ที่ลูกน้องเก่ามองว่า ไม่น่าจะเป็นคุณแก่ ทักษิณ เท่าไร และอาจทำให้เครดิตลดลงอีก "ถ้านักการเมืองไม่ติดคุก แต่ข้าราชการที่ช่วยเหลือคุณทักษิณติดคุก คิดว่าระบบราชการจะเดินงานให้คุณทักษิณไหม"

ถึงวันนี้ ทักษิณ ยังมีอาวุธอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่ที่จะช่วยให้รอดพ้นจากวิบากกรรมทางคดี บีบีซีไทยถาม

"คำตอบของผม ท่านคงไม่ชอบ ผมคิดว่าท่านต้องหมอบ เพราะท่านออกอาวุธหมดตัวแล้ว" สุรนันทน์ พูดยิ้ม ๆ ก่อนปิดท้ายประโยคว่า "แต่คุณทักษิณหมอบไม่เป็น"

2 ปี ทักษิณ กลับไทย ประเทศได้อะไร

สรุปแล้ว 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย ประเทศชาติได้อะไร

"ประเทศเสียหาย ประเทศไม่ได้อะไรเลย" สุรนันทน์ ให้ความเห็น ก่อนชี้ชวนให้ทบทวนข้อวิเคราะห์ดั้งเดิมของเขาที่ว่าชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ให้ ทักษิณ กลับไทยเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่ผลที่เกิดขึ้นออกมาตรงกันข้าม

"ถ้าคุณทักษิณต้องการลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะรัฐบุรุษ คุณทักษิณต้องเสียสละ รัฐบุรุษทุกคนเสียสละ... ถ้าไม่เสียสละแล้วยังสู้ต่อไป ผมว่าประเทศไม่ได้อะไร จะเสียหายหนักขึ้น แล้วคุณทักษิณกับคุณแพทองธารก็จะมีที่ยืนในสังคมลำบากมากซึ่งผมไม่อยากเห็น"


สุรนันทน์ ระบุว่า ทักษิณจำเป็นต้องรวบอำนาจในมือเพื่อรักษาสถานะลูกสาวตัวเอง

ขณะที่ทัศนะของ ศ.ดร.เกษียร สิ่งสังคมได้ในช่วง 2 ปีคือ "ได้เห็นขีดจำกัดทางประวัติศาสตร์ของระบอบทักษิณ"

เขาชี้ว่า ระบอบทักษิณ "จบไป" ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ซึ่งโจทย์การเมืองเปลี่ยน เพราะ คสช. เข้ามาเปลี่ยน และนำไปสู่ความต้องการต่อสู้กับระเบียบของ คสช. และเห็นว่าพรรคส้มกลายเป็นคู่ชกของระเบียบแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งไว้แทน

"ผมไม่รู้สึกว่าเราจะเรียกคุณทักษิณว่า 'ระบอบทักษิณ' ได้อีก มันมีบทบาทประวัติศาสตร์ของมัน อาจพูดได้ว่าถ้ามองย้อนกลับไป 20 ปี คุณอธิบายความเปลี่ยนแปลงระเบียบการเมืองไทยหลัง 2535 ที่มีพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจนำที่เข้มแข็งมากไม่ได้ ถ้าไม่วางระบอบทักษิณลงไป ระบอบทักษิณมีผลมากในช่วงความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เขารุกทางการเมือง เขาเสนอแนวทางทางการเมืองแล้วมันรุกต่อระบอบ"

ในเงื่อนไขสถานการณ์ปัจจุบัน ศ.ดร.เกษียร กล่าวว่า พลังเก่าก็ไม่เข้มแข็งพอ การใช้กำลัง-อาวุธ-รัฐประหารพิสูจน์แล้วว่าไม่บรรลุผลสำเร็จตามที่คาดหมาย ขณะเดียวกันพลังใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่สามารถพลิกเกมได้ ข้อเรียกร้องต้องการที่จำเป็นในภาวะครึ่ง ๆ กลางๆ คือหาจุดที่จะทำให้การเมืองใหม่กับการเมืองเก่าเชื่อมเข้ากันได้แล้วก็เดินหน้าได้ ถ้าใครทำอันนี้ได้จะมีโอกาสช่วงชิงความนิยม และเห็นอนาคตความคาดหวังของระเบียบการเมืองไทย

"คุณทักษิณและเพื่อไทยเคยอยู่ตรงจุดที่จะทำอันนี้ได้ เป็นพรรคกลางเก่ากลางใหม่ มีเชื้อมูลของพวกบ้านเก่า รู้จักการทำงานของระบบราชการดี เคยครองอำนาจรัฐมาแล้ว เป็นพลังที่เหมาะมากในการเชื่อมการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่แล้วเดินหน้าไปได้ แต่แกดันเอาอันนี้ไปดีลเสียแล้วเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนครอบครัว ส่วนพรรคอะไรก็แล้วแต่ มันก็เลยแบบ... แกไม่มีอะไรจะขายแล้ว" ศ.ดร.เกษียร บอก

เขากล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการไม่เหลือต้นทุนคือ กรณีคลิปฮุนเซนและสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการไม่ไว้วางใจ ทักษิณ จาก "ใบอนุญาตที่ 2" ซึ่งยากจะกู้คืน

https://www.bbc.com/thai/articles/c8e1gn7nz4do