วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2568

“ปาฏิหาริย์” มีจริง สำหรับทักษิณ ในเดือนสิงหาคม 2544 (คดีซุกหุ้น) แต่“ปาฏิหาริย์” ไม่มีจริง สำหรับแพทองธาร ในเดือนสิงหาคม 2568 (“คลิปอังเคิล” ) ด้วยเหตุใด ?


Thanapol Eawsakul
Yesterday
·
“ปาฏิหาริย์” มีจริง สำหรับทักษิณ ชินวัตรในเดือนสิงหาคม 2544
แต่“ปาฏิหาริย์” ไม่มีจริง สำหรับแพทองธาร ชินวัตรในเดือนสิงหาคม 2568
ย้อนรอยสิ่งที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร รอดจากคดีซุกหุ้น 3 สิงหาคม 2544
(และด้วยเหตุนี้อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวิคร จึงจะไม่รอดคดี “คลิปอังเคิล” )

..................

พลันที่ทักษิณ ชินวัตร รอดจากคดีซุกหุ้น 3 สิงหาคม 2544 นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ( 6 สิงหาคม 2544) ก็ได้ขึ้นพาดหัว

“ปาฏิหาริย์”
มีจริง

ซึ่งมีนัยยะหลายอย่าง ทั้งที่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือว่ามีพลังพิเศษที่ทำให้ทักษิณหลุดคดีซุกหุ้นก็ตาม

24 ปีต่อมา คดีอุ๊งอิ๋ง แพทองธาร ชินวัตร ก็มีข่าวลือ “ปาฏิหาริย์” จะ “มีจริง” อีกครั้ง

(1)
ก่อนจะถึง 3 สิงหาคม 2544

มาตรา 295 ในรัฐธรรมนูญ 2540 ระบุว่า
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ครบกำหนดต้องยื่นตามมาตรา 292 หรือนับแต่วันที่ตรวจพบว่ามีการกระทำดังกล่าว แล้วแต่กรณี และผู้นั้นต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ เป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง
เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ให้นำบทบัญญัติมาตรา 97 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
....................

กรณีทักษิณ ชินวัตร เมื่อประกาศตัวว่าจะทำงานการเมืองเต็มตัว โดยตั้งพรรคไทยรักไทยในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ก็ได้จัดการบัญชีทรัพย์สิน หนี้สินของตัวเอง ตามสไตล์ทักษิณ มีการโอนหุ้นส่วนหนึ่งให้กับแม่บ้าน และคนขับรถ และอีกจำนวนไม่น้อยก็ใช้ในรูปแบบนอมินี

แรกเริ่มเดิมทีพรรคไทยรักไทยยังไม่ใช่คู่แข่งทางการเมืองของพรรคการเมืองเก่าสักเท่าไหร่นัก การกระทำของทักิณอาจจะดูเหมือนเรื่องทั่วไป ที่ใคร ๆ ก็ทำกัน

แต่เมื่อรัฐบาลชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเสื่อมความนิยมสุด ๆ จากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบกับขุนพลสำคัญ คือสนั่น ขจรประศาสน์ ถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ทำให้ดีกลารเมืองกับกลุ่มบ้านใหญ่ต่าง ๆ ต้องหลุดลอยไปอยู่กับทักษิณ จำนวนมาก

พรรคไทยรักไทย ซึ่งมีทั้งนโยบาย และพลังดูด จึงเริ่มเป็นคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ชวน 2

คดีในการร้องเรียนทักษิณจึงปรากฎตามมา โดยเฉพาะคดีซุกหุ้น

(2)
9 พฤศจิกายน 2543 ใกล้ที่จะครบ 4 ปี ชวน หลีกภัยชิงยุบสภา และกำหนดเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 6 มกราคม 2544 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540

ระหว่างนั้น 26 ธันวาคม 2543 ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มี นายโอภาส อรุณินทร์ เป็นประธาน ลงมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ และเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดตามมาตรา 295 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งว่าด้วยการให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินตามเวลาและวิธีการที่กำหนด

แน่นอนว่า ในบรรดาคู่แข่งทางการเมืองของทักษิณ ก็หยิบจุดมานี้โจมตี และหวังลึก ๆ ว่าต่อใช้ทักษิณ ชนะเลือกตั้งก็น่าจะอยู่ได้ไม่นาน

(3)
แต่การเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 กลับเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายเมื่อทักษิณและพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ชนะ สส. เขต 200 จาก 400 ที่นั่ง ชนะ ระบบบัญชีรายชื่อ11,634,495 เสียง หรือ40.64% รวมได้ สส. 248 คน จาก 500 คน

รัฐบาลชุดนี้มาด้วยความหวัง จากความล้มเหลวของรัฐบาลชวน 2 และทักษิณ ชินวัตรก็ได้ถือโอกาสนี้สร้างผลงานอันเป็นที่เลื่องชื่อต่าง ๆ เพราะเขารู้ดัว่า ชะตากรรมทางการเมืองนั้นไม่แน่นอน

และสิ่งที่จะเป็นหลังพิงที่สำคัญที่สุดคือความนิยมของประชาชน

ถ้าใช้ศัพท์ฝ่ายซ้าย ประชาชนคือ ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก

เอาเข้าจริงก่อนที่จะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ทักษิณก็เริ่มทำงานไปก่อนแล้ว
เช่นการนัดคุยนอกรอบกับบรรดานายธนาคารต่าง ๆ เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องหนี้เสีย (ซึ่งตอนนั้นก็มีคนจำนวนหนึ่งมองว่าไม่มีมารยาทางการเมืองก็ตาม)

แต่ปัญหาเศรษฐกิจก็รอไม่ได้เช่นเดียวกัน

18 มกราคม 2544 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติ 14 เสียง เป็นเอกฉันท์ รับคำร้องของ ป.ป.ช. ทำให้ ทักษิณ ว่าที่นายกฯ ขณะนั้น กลายเป็น “จำเลย” ในศาลรัฐธรรมนูญทันที

กระบวนพิจารณาดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชื่อของกล้านรงค์ จันทิก เลขาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นตัวแทนของ ป.ป.ช. เบิกความและซักพยาน เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

18 มิถุนายน 2544 ทักษิณแถลงปิดคดีด้วยตัวเองที่ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการแถลงต่อศาลว่า

ตัวเองและภรรยา แจ้งทรัพย์สินว่ามีทั้งสิ้นสองหมื่นกว่าล้าน การแจ้งบัญชีทรัพย์สินตอนนั้น ยังไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน (พรบ.ปปช. ประกาศใช้ 2542 ตอนนั้นยังใช้ระเบียบ ปปป.)จึงเข้าใจว่า ต้องแจ้งเฉพาะทรัพย์สินที่มีอยู่ในชื่อของตัวเอง ภรรยา เท่านั้น ไม่ได้แจ้งทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อคนอื่น (แม่บ้าน คนขับรถ)

ทักษิณให้เหตุผลว่า ยอดที่ไม่ได้แจ้ง มีเพียง 2.5 % เท่านั้นของทรัพย์สินที่แจ้งทั้งหมด (ห้าร้อยกว่าล้าน) จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซุกซ่อน

ตัวเขาเองก็ลืมแจ้งทรัพย์สินไปหกพันกว่าบาท ภรรยาก็ไม่ได้แจ้งแสนกว่าบาทไม่ได้เจตนาซุกซ่อน แต่เพราะความไม่เข้าใจในระเบียบการแจ้ง ความเผอเรอ

ในส่วนที่เป็นชื่อแม่บ้านนั้น เพราะเหตุผลทางธุรกิจจึงต้องใช้ชื่อแม่บ้านเป็นเจ้าของทรัพย์สินเช่น เข้าไปซื้อหุ้นในกิจการที่มีหนี้สิน การใช้ชื่อตัวเองหรือภรรยา ก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ หรือการใช้ชื่อผู้อื่นเพื่อให้ครบเกณฑ์การถือครองตามกฎหมายหรือเพื่อให้มีเสียงข้างมากในการถือหุ้นธุรกิจนั้นซึ่งเรื่องเหล่านี้ กฎหมายอนุญาตให้ทำได้

นี่แหละครับ จึงเป็นที่มาของคำพูดของทักษิณที่ว่า "บกพร่องโดยสุจริต"

https://pantip.com/topic/31820317

ขณะที่ทักษิณเริ่มกลายเป็น “พระเอก” มีภาพของมวลชนที่ไปให้กำลังใจอย่างแน่นขนัดหนาศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่แถว ๆ โรงเรียนสวนกุหลาบ ซึ่งคนเข้าไปไม่ยากนัก ผิดกับตอนที่ กล้านรงค์ จันทิก เลขาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นตัวแทนของ ป.ป.ช. เบิกความและซักพยานในศาลรัฐธรรมนูญ คือ “ผู้ร่าย” ที่มาพรากความหวังของประเทศ ก็มีเสียงโห่ไล่ร้องขับไล่

(4)

การบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ของครม ทักษิณตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2544 นั้น ไม่เพียงแต่ผลงานเป็นรูปธรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมเวิร์คชอบ หน่วยงานราชการและเอกชนทุกสัปดาห์จนสื่อมวลชนในตอนนั้น แค่จับประเด็นนโยบายรัฐบาลยังตามไม่ทันกันเลน
ไม่ต้องมาพูดถึงการวิจารณ์นโยบายอย่างถึงราก
นอกจากนั้น ยังมีพลังมวลชนกลุ่มต่าง ๆ เช่นกรณีหมอเสม พริ้งพวงแก้ว ถึงกับใช้ฉายาทักษิณว่าอัศวินควายดำ เลยทีเดียว
รวมทั้งสื่อมวลชนอย่าสนธิ ลิ้มทองกุล และเครือผู้จัดการก็เป็นกระบอกเสียงสำคัญของรัฐบาลไทยรักไทยในเวลานั้น
เวลาร่วมๆ 7 เดือนแห่งความอึมครึมขัดแย้ง ยุติลงเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติในคดีประวัติศาสตร์ ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544 ที่ผ่านมา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความผิดตามมาตรา 295 ในรัฐธรรมนูญ

คะแนนเสียง 8 ในมติดังกล่าว หรือตุลาการเสียงข้างมาก ประกอบด้วย
นายกระมล ทองธรรมชาติ
นายศักดิ์ เตชาชาญ
นายจุมพล ณ สงขลา
พล.ท.จุล อติเรก
นายปรีชา เฉลิมวณิชย์
นายผัน จันทรปาน
นายสุจินดา ยงสุนทร
นายอนันต์ เกตุวงศ์

ส่วนตุลาการ 7 คนที่ลงมติว่า ทักษิณ ผิด
นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
นายมงคล สระฏัน
นายสุจิต บุญบงการ
นายสุวิทย์ ธีรพงษ์
นายอมร รักษาสัตย์
นายอิสระ นิติทัณฑ์ประภาส
นายอุระ หวังอ้อมกลาง

(ท่ามกลาวข่าวลือว่าในตุลาการเสียงข้างมาก มีการย้ายข้างด้วยคำขอพิเศษ และมีลูกสาวที่ทำงานในเครือบริษัทชินวัตร)

ในกลุ่มความเห็นเสียงข้างมาก มี 4 คนที่เห็นว่า กรณีไม่เข้ามาตรา 295 ประกอบด้วย นายกระมล นายจุมพล นายศักดิ์ และนายผัน
โดยนายจุมพลกล่าวว่า การตีความกฎหมายที่เป็นโทษต้องตีความอย่างเคร่งครัด จะขยายโทษไม่ได้ ส่วนการที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยลงโทษผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่ได้ยื่นบัญชีหลังจากพ้นตำแหน่ง ตามมาตรา 295 ก็เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ยกข้อกฎหมายนี้ขึ้นต่อสู้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยกเรื่องการพ้นจากตำแหน่งแล้วมาต่อสู้ จึงวินิจฉัยว่า ไม่เข้ามาตรา 295

ส่วน 4 คนในกลุ่มนี้ ที่เห็นว่าไม่เป็นความผิดฐานปกปิดทรัพย์สิน คือ พล.ท.จุล นายปรีชา นายสุจินดา และนายอนันต์

ส่วนตุลาการกลุ่มที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด อาทิ นายสุจิตให้เหตุผลว่า มาตรา 295 ต้องประกอบ 291 ให้เข้าใจว่าพ้นตำแหน่งก็ต้องยื่น และการให้คนอื่นถือหุ้นแทน ต้องถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้เห็น จึงถือว่าปกปิด

(5)
สำหรับ ทักษิณ ในวันที่ 3 สิงหาคม หลังจากเคร่งเครียดจากข่าวปล่อยว่าต้องเว้นวรรคมาหลายวัน แต่ในวันนั้น ปรากฏว่ามีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีผิดสังเกต อาการของนายกฯ เป็นสัญญาณให้เกิดการตีความว่า มติของศาลรัฐธรรมนูญคงจะเป็นผลบวกสำหรับนายกฯ

ข่าวกระซิบกระซาบในทำเนียบระบุตั้งแต่ช่วงเที่ยงๆ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณหลุดคดีแน่นอน โดยเฉพาะในแวดวงของพรรคร่วมรัฐบาล มีการบอกข่าวกันต่อไปเป็นทอดๆ

กระมล ทองธรรมชาติ 1 ใน 8 เสียงข้างมากคือคนแรกที่ออกมาเปิดเผยผลการตัดสินครั้งแรกว่าทักษิณ
รอดเมื่อเวลา 16.20 น. และแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อทราบผลอย่างเป็นทางการ ทักษิณเปิดการแถลงข่าวเวลา 17.30 น. ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
ว่าเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนได้เคลื่อนตัวออกไปจากประเทศไทยแล้ว อยากให้ทุกคนมีความหวังและทุ่มเท เพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวของประเทศ
“รัฐบาลชุดนี้ จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่ให้กำลังใจมาตลอดในช่วงฝันร้ายในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าวิกฤตฝันร้ายของชีวิตผมวันนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่จะขอเชิญชวนคนไทยทั้งชาติมาร่วมแก้ปัญหา”

ผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล สดๆ ร้อนๆ ในวันเดียวกันนั้นเอง ประชาชนใน กทม. และเมืองใหญ่ ร้อยละ 62.68 เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดีแล้ว ร้อยละ 16.20 เห็นว่ายุติธรรมดีแล้ว ร้อยละ 13.38 ดีใจมากที่นายกฯ หลุดจากคดีซุกหุ้น ร้อยละ 5.63 เห็นว่าทำให้ไม่เกิดความวุ่นวาย

ส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน มีร้อยละ 2.11

(7)

แน่นอนผมทราบดีว่ามีการ “วิ่ง” ของทักษิณผ่านชนชั้นนำมากมาย ด้วยคำขู่แกมขอร้องว่า ถ้าทักษิณหลุดจากอำนาจไป เศรษฐกิจไทยที่กำลังจะฟื้นตัวจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็อาจจะกลับไปซ้ำรอยเดิม
เรื่องเหล่านี้มีส่วนจริง แต่ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวนั้นรัฐบาลทักษิณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยขาดเขาไม่ได้สียก่อน

ซึ่งผมคิดว่าทักษิณทำสำเร็จ ในเวลา 7 เดือนตั้งแต่ได้บริหารประเทศ
และนี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทักษิณรอด

(6)
ผ่านมา 24 ปี ย้อนกลับมาดูชะตากรรมของ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ถึงแม้จะรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 แต่ดูเหมือนว่าบริบทต่างกันอย่างสิ้นเชิง
1.ขณะที่ทักษิณขึ้นมาสู่อำนาจด้วยความชอบธรรม และคะแนนเสียงถล่มทลาย แต่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร มาด้วยการตระบัดสัตย์ ข้ามขั้ว รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
2. ขณะที่ทักษิณ มีผลงานเป็นรูปธรรม และความขยันเหลือล้น แต่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร คือตัวอย่างของความขี้เกียจ การลาประชุม ครม. ล่าสุด 2 ครั้ง และไม่ตอบคำถามอะไรเลยนอกจากยิ้ม ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจ
3. ขณะที่ทักษิณ มีแต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังการเลือกตั้งเพราะผลงานจนมีภาคประชาสังคมเช่น หมอเสม ที่ยกให้เป็นอัศวินควายดำ แต่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร คือตัวอย่างของการยิ่งบริหาร ยิ่งตกต่ำ มีแต่คนขับไล่
4. ขณะที่ทักษิณ ในปี 2544 ยังไม่ใช่ศัตรูทางการเมืองของชนชั้นนำ (เพิ่งมาเป็นหลังปี 2548) แต่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร เข้ามารับตำแหน่งปี 2567 เพราะพ่อ ถึงอย่างไรทักษิณก็คือศัตรูของชนชั้นนำ

ดูได้จากชื่อของทักษิณ จากการอภิปรายของสส.ชวพล สท้อนดี แต่อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาก็เป็นศัตรูแล้ว เพียงแต่ว่าจับมือสามัคคีกันชั่วคราวเพื่อหยุดพรรคส้มเท่านั้น

(
ทั้งหมดทั้วปวงคือจะบอกว่า“ปาฏิหาริย์” ไม่มีจริง ในเดือนสิงหาคึม 2568
อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ไม่รอด ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ถ้าไม่ลาออกก่อน ก็จะโดนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้หลุดจากตำแหน่ง
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=24596626686644172&set=a.188049254595255