
Natchapat Amorngul
13 hours ago
·
"พูดไม่ทัน Framing"
รู้ไหมว่าทำไมคนถึงบ่นกันนักว่าประเทศของเราสื่อสารช้าเกินไป โดยเฉพาะเวลาเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่บ้านเรามีเจ้าหน้าที่มืออาชีพ มีนักการทูตดี ๆ มากมาย แต่กลับปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเล่าเรื่องก่อน ขยายความก่อน และครองพื้นที่ข่าวก่อนเสมอ
คำตอบหนึ่งคือ “โปรโตคอล”
กระทรวงการต่างประเทศของเราทำงานภายใต้ระบบที่เรียกว่าโปรโตคอล ซึ่งก็คือระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้ว่ารัฐจะพูดอะไรได้บ้าง ต้องรอบคอบแค่ไหน ต้องประสานกับใครบ้าง ต้องมีหลักฐานอะไรแนบ ต้องรอให้ครบลำดับชั้นก่อนพูด เพราะทุกถ้อยคำที่ออกมา ไม่ใช่ถ้อยคำของคน แต่เป็นถ้อยคำของประเทศ
โปรโตคอลก็เหมือนตะแกรงกรองอย่างดี ที่ช่วยให้รัฐไม่เผลอพูดอะไรผิด ไม่พลาดในจังหวะสำคัญ แต่นั่นแหละ ในโลกที่ข่าวเคลื่อนไหวเร็วกว่าการตรวจสอบ ตะแกรงที่ถี่เกินไปก็อาจกลายเป็นอุปสรรคเสียเอง ถี่จนแม้แต่ความจริงก็เล็ดรอดออกไปไม่ทัน
ซึ่งมันหมายความว่า… เราอาจมีเหตุผลที่ดีที่ยังไม่พูด แต่คนทั้งโลกไม่ได้รอฟังเหตุผลนั้น เขาฟังสิ่งที่ถูกเล่าไปก่อนแล้ว และ framing ก็เริ่มทำงานตั้งแต่วินาทีแรกที่เรื่องถูกเล่า
ในโลกปัจจุบัน “พูดทีหลัง” ไม่ใช่แค่เสียเปรียบ แต่มันคือการยกพื้นที่ให้คนอื่นจัดฉากและกำกับเรื่องแทนเรา โดยเฉพาะเมื่อสนามการต่อสู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องประชุมหรือแนวชายแดน แต่คือ พื้นที่ข้อมูลข่าวสาร ที่เปิดอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงในสื่อสากล โซเชียลมีเดีย และเวทีโลกทุกแห่ง
ประเด็นคือ โปรโตคอลกับเกมการเมือง มันเดินคนละสปีดกัน โปรโตคอลต้องตรวจสอบ ถ่วงดุล รับรอง ลำดับชั้น ทำตามระเบียบ แต่การเมืองโลกทุกวันนี้ มันวัดกันที่ใครควบคุม framing และ perception ได้ก่อน
เพราะ framing คือการวางกรอบเรื่อง ส่วน perception คือความรู้สึกของผู้คนที่ถูกกรอบนั้นนำพา มันไม่ใช่แค่เล่าเรื่องให้โลกฟัง แต่คือทำให้โลก “เชื่อว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ” จะจริงหรือไม่จริงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนถามก่อน แต่คือ เขารู้สึกยังไง กับสิ่งที่ได้ยิน และเมื่อความรู้สึกนั้นถูกสร้างไปแล้ว การออกมาชี้แจงทีหลัง ก็มักไปไม่ถึงใจใครอีกเลย
ถ้าเราปล่อยให้เขา framing ก่อน แล้วเราค่อยออกมาชี้แจงทีหลัง บอกว่าไม่จริงบ้าง ขอเวลาตรวจสอบก่อนบ้าง… มันก็เท่ากับปล่อยให้เขาเป็นผู้กำกับเรื่อง แล้วเรามาเล่นบทประกอบเงียบ ๆ
ทางออกไม่ใช่การทิ้งโปรโตคอล แต่คือการออกแบบระบบสื่อสารที่เดิน “ไปพร้อมกับโปรโตคอล” ไม่ใช่เดินตามหลังตลอดเวลา
สิ่งที่เราควรทำ คือการสร้าง “3 แกนสื่อสาร” ที่สอดประสานกัน โดยไม่ต้องรอให้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งพูดก่อน:
1. ระดับรัฐ… framing แบบ soft โดยไม่กล่าวหา
ใช้ถ้อยคำระวัง เช่น “ฝ่ายไทยมีความกังวลต่อเหตุการณ์ล่าสุด และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนออย่างเป็นทางการ” ไม่ต้องกล่าวหา แค่สื่อสารว่ารับรู้ มีเหตุการณ์ และขอให้สื่อร่วมตรวจสอบ ถ่ายทอดผ่านโฆษก MFA, เพจกรมสารนิเทศ, หรือสถานทูตในประเทศเป้าหมาย
2. ระดับกึ่งทางการ… เสียงจากผู้เชี่ยวชาญและสื่อพันธมิตร
ผลักดันให้นักวิชาการด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือสิทธิมนุษยชน เขียนบทความหรือให้สัมภาษณ์ โดยใช้สื่อกึ่งทางการ เช่น Thai PBS English, NBT World หรือช่องทางของสถานทูต เผยแพร่เสียงจากชายแดนแบบเรียลไทม์
3. ระดับประชาชนและท้องถิ่น… สื่อสารเชิงมนุษย์
ให้ NGO ชาวบ้าน ครู นักเรียน คนในพื้นที่ บอกเล่าเรื่องจริงในแบบที่โลกเข้าใจ จะเป็นคลิปสั้น ภาพถ่าย หรือ X post (Twitter) ก็ได้ ขอแค่มีความจริงอยู่ข้างใน เหมือนยูเครนที่ใช้คลิปจากชาวบ้านหลบระเบิดเป็นหลักฐานและเสียงของประเทศ
พูดช้า = แพ้แบบพูดไม่ออก
และการไม่พูด ไม่ใช่ความปลอดภัยเสมอไป ในบางกรณี มันคือการปล่อยให้เรื่องจริงของเราถูกลบเลือนจนหมดสิ้น
โปรโตคอลยังจำเป็น และควรดำรงอยู่ในฐานะระบบที่รักษาความน่าเชื่อถือของรัฐ
แต่ถ้าเราจะอยู่ในโลกที่ framing เคลื่อนไหวเร็วกว่าเอกสารรับรอง เราก็ต้องกล้ายอมรับว่า ความเร็วไม่ได้ทำลายโปรโตคอลเสมอไป ถ้าเราวางระบบไว้ดีพอ
เราจึงไม่จำเป็นต้องพูดก่อนใคร
แต่เราต้องแน่ใจว่า… ความจริงของเราไปถึงทันเวลาที่โลกยังอยากฟัง
https://www.facebook.com/natchapat.ountrongchit/posts/10163374142416081