
สันติภาพแบบทรัมป์ ! (The Trump Peace) | สุรชาติ บำรุงสุข
27.07.2025
มติชนสุดสัปดาห์
แทบไม่น่าเชื่อกับข่าวที่ปรากฏในคำ่คืนวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อข่าวชิ้นหนึ่งจากทำเนียบขาวปรากฎในเวทีระหว่างประเทศ … ผู้นำสหรัฐเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาต้องหยุดยิง จากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ
ในเบื้องต้น ไม่ชัดเจนชัดเจนว่าจริงหรือไม่ …
ในเวลาต่อมา เพียงไม่นานนัก ก็มีคำยืนยันที่ชัดเจนว่า ข้อเรียกร้องหยุดยิงของทำเนียบขาวเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ประดิษฐกรรมของ AI แต่อย่างใด !
ต้องยอมรับในทางการเมืองระหว่างประเทศว่า ข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ มีความน่าสนใจอย่างมาก จึงอยากขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1) ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้เรียกร้องให้รัฐคู่พิพาทหยุดยิงด้วยวาจาเท่านั้น หากแต่ยังมีการออก “มาตรการบังคับทางการทูต” (coercive diplomacy) ที่ไม่ใช่การใช่มาตรการบังคับในทางทหาร ซึ่งแต่เดิมมาตรกาบังคับเช่นนี้ รัฐมหาอำนาจมักใช้ “เครื่อมือทางทหาร” เป็นแบบแผนหลัก
2) มาตรการบังคับให้เกิดการหยุดยิงครั้งนี้ เป็นการบังคับในทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐจะไม่เจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับรัฐคู่พิพาททั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจะเห็นชัดว่า ในครั้งนี้ ทำเนียบขาวใช้ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ” เป็นมาตรการบังคับ
3) มาตรการบังคับของสหรัฐให้หยุดยิงครั้งนี้ เป็นการกดดันกับสิ่งที่รัฐคู่พิพาทต้องการอย่างมาก คือ การเจรจาเพื่อผ่อนคลายผลที่จะเกิดเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจภายใน เพราะทุกประเทศต้องการการส่งสินค้าออกไปตลาดสหรัฐ จึงน่าสนใจอย่างมากว่า มาตรการนี้จะประสบความสำเร็จเพียงใด
4) ในเบื้องต้น ผู้นำรัฐทั้ง 2 คงต้องตอบรับกับเสียงเรียกร้องของทำเนียบขาว แต่ในทางปฏิบัตินั้น การหยุดยิงจะเริ่มได้จริงเมื่อใด และจะหยุดอย่างไร
5) ความเป็นจริงของสถานการณ์สงคราม กองทัพของแต่ละฝ่ายยังมีสภาวะ “ติดพันสนามรบ” ที่อาจจะต้องการความชัดเจนของนโยบายทางการเมืองจากรัฐบาล รัฐบาลจะต้องคิดหา “ทางออก” จากภาวะสงครามให้ได้ที่มีเงื่อนไขของทำเนียบขาวเข้ามาเป็นปัจจัยด้วย
6) ในสภาวะของวิกฤตการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ต้องยอมรับว่า รัฐบาลไทยมีภาพของความ“อ่อนแอ-อ่อนหัด” โดยเฉพาะระดับตัวผู้นำรัฐบาล จนสังคมภายในของไทยไม่ตอบรับกับการดำเนินการของรัฐบาล และส่งผลในทางกลับกันอย่างน่ากังวล ให้เกิดการสนับสนุน “กระแสทหารนิยม” ควบคู่ไปกับ“กระแสชาตินิยม”
7) การเจรจาสันติภาพเพื่อยุติปัญหานี้ จะปรากฏในรูปแบบใด จะดำรงเวทีที่เป็นทวิภาคี หรือสหรัฐจะเข้ามาเป็น“คนกลาง” เพราะรัฐคู่พิพาทยังไม่มีสัญญาณของการหยุดยิงจริงๆ แต่อย่างใด
8) ในสงครามชุดนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ถึงบทบาทของจีนที่อาจจะเข้ามาเป็น “คนกลาง” เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศทั้ง 2 โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาคือ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างมากระหว่างจีนกับกัมพูชา
9) ในบริบทการเมืองระหว่างประเทศ หากจีนเข้ามาเป็นผู้ยุติสงคราม ก็จะนำไปสู่การขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค เช่นที่ญี่ปุ่นเคยมีบทบาทเช่นนี้ในการยุติสงครามอินโดจีน 2484 ระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส และตามมาด้วยการขยายบทบาทของญี่ปุ่นในสยามก่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
10) ในมุมมองของเวทีโลก ไม่มีใครอยากเห็นสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาขยายตัว จนกลายเป็น “สงครามที่ควบคุมไม่ได้” และนำไปสู่การไร้เสถียรภาพของภูมิภาค เพราะเวทีโลกยังเผชิญกับปัญหาสงครามที่ไม่มีข้อยุติ คือ สงครามยูเครน สงครามกาซ่า สงครามซูดาน เป็นต้น และทั้ง ในเวทีโลกไม่มีใครต้องการเห็น“วิกฤตการณ์มนุษยธรรม” จากสงครามครั้งนี้
11) ในเวทีโลก อาจจะไม่มีใครใส่ใจว่าสงครามเริ่มต้นอย่างไร แต่จะสนใจความสูญเสียที่เกิดกับประชาชน และกับระดับของการใช้กำลัง ประชาคมโลกจึงอยากเห็นการยุติสงคราม และถ้าสงครามยังขยายตัวไปไม่หยุดเวทีโลกพร้อมที่กดดันด้วยมาตรการบังคับให้เกิดการหยุดยิง เพื่อที่การหยุดยิงจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “การลดระดับสงคราม” (de-escalation of war)
12) การใช้มาตรการบังคับของสหรัฐ เห็นมาแล้วในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยการเป็นคนกลางให้เกิดการยุติสงครามระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) กับราวันดา ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตและผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก การใช้มาตรการบังคับในสงครามไทย-กัมพูชา อาจไม่แตกต่างกันท่ีสหรัฐเข้ามาเล่นบทเป็นคนจัดการครั้ง
13) อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า ถ้าทรัมป์ยุติสงครามด้วยมาตรการบังคับทางเศรษฐกิจได้จริงแล้ว (อาจรวมถึงการยุติสงครามยูเครน อย่างที่ทรัมป์ฝัน) ในกรณีนี้ ทรัมป์อาจกลายเป็นผู้ได้รับ ”รางวัลโนเบิลวาขาสันติภาพ” ได้ไม่ยาก … คิดเล่นๆ ครับ !
14) ปีกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งไทยอาจไม่ตอบรับ เพราะคนกลุ่มนี้อยากเห็นการขยายตัวของสงคราม และนำไปสู่การทำลายล้างขนาดใหญ่กับเป้าหมายในกัมพูชา แต่ต้องตระหนักเสมอว่า ไทยไม่ใช่อิสราเอลที่จะเปิดสงครามได้อย่างสุดโต่งเช่นเกิดในกาซ่า
15) สังคมไทยในส่วนหนึ่งต้องคิดที่จะไม่พาประเทศไปติด “กับดักสงคราม” เพราะสงครามที่ลากยาวออกไป มีราคาทางเศรษฐกิจทั้งในระดับชาติ และเศรษฐกิจชายแดนเป็นค่าใช้จ่าย รวมถึงราคาชีวิตของผู้สูญเสียและเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางอย่างมาก

จะเดินสู่อนาคตอย่างไร?
หลังจากคำร้องของทำเนียบขาวออกมาในคืนวันเสาร์ที่ 26 แต่เช้าวันอาทิตย์ที่ 27 สงครามยังดำเนินต่อไปเสมือนหนึ่งผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ยังมีอาการ “หูหนวก” จากเสียงเรียกร้องของทรัมป์ แม้ทรัมป์จะแถลงว่า ได้คุยกับผู้นำทั้ง 2 แล้วก็ตาม
ดังนั้น จากข้อเรียกร้องของทรัมป์ครั้งนี้ จึงน่าติดตามอย่างมากว่า รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะ “ปีนลงบันไดสงคราม” อย่างไรจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะอาจต้องยอมรับในทางยุทธการว่า สงครามประเทศเพื่อนบ้านนั้น “รบกันพอประมาณ” แล้วต้องหยุด เพราะสงครามชุดนี้ ไม่ใช่สงครามเบ็ดเสร็จที่นำไปสู่การยึดครองของรัฐผู้ชนะเช่นในยุคอยุธยา ธรรมชาติของสงครามเพื่อนบ้านในโลกสมัยใหม่เป็นเพียง “สงครามสั่งสอน” เท่านั้นเอง !
https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_853443