
iLaw
5 hours ago
·
“ฝ่าวิกฤติทางการเมือง” คือหนึ่งในข้ออ้างที่คณะรัฐประหารมักยกขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง แม้ว่าตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังมีอีกหลายวิถีทางที่ผู้มีอำนาจทางการเมือง รวมถึงประชาชนจะร่วมกันพาประเทศไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นหรือหาทางออกร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้ง หรือการทำประชามติ การแก้ไขกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการเมืองการปกครอง เช่นการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
.
ผลลัพธ์จากประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นว่าการรัฐประหาร “ไม่ใช่” ทางออกของประเทศเสมอไป ในทางตรงกันข้าม การรัฐประหารกลับทำให้หลักการประชาธิปไตยในสังคมไทยไม่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซ้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชนยังถดถอย
.
ชวนดูบทเรียนจากในอดีต ทำไมถึงต้อง #ไม่เอารัฐประหาร
.

.
หลักแบ่งแยกอำนาจ เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย แนวคิดของการแบ่งแยกอำนาจ ไม่ใช่เพียงแต่แยกองค์กรที่ทรงอำนาจอธิปไตยออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ออกจากกันเด็ดขาด แต่ทั้งสามฝ่ายต่างมีบทบาท “ตรวจสอบถ่วงดุล-คานอำนาจ” กันด้วย
.
บทบาทในการใช้อำนาจบริหารเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดหลังคณะรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คณะรัฐประหารในอดีตไม่ได้ใช้แค่อำนาจบริหาร แต่ยังมีกรณีที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติหรืออำนาจตุลาการด้วย เรียกได้ว่าใช้อำนาจ “เบ็ดเสร็จ” ในคณะบุคคลกลุ่มเดียว
.

.
ยุครัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 ออกคำสั่งประหารชีวิตประชาชน 76 คน และสั่งจำคุก 113 คน ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ คนที่ถูกลงโทษไม่ใช่เพียงผู้ต้องหาที่ถูกสงสัยว่า กระทำความผิดอาญา อย่างการ ลักทรัพย์ ฆ่าผู้อื่น หรือการวางเพลิงเผาทรัพย์ แต่รวมไปถึงผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว อย่างการแจกใบปลิวคัดค้านหรือออกความเห็นต่อต้านรัฐบาลด้วย
.
ในปี 2519 เมื่อพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ ทำรัฐประหารหลังเหตุการณ์ความรุนแรง 6 ตุลาคม 2519 และให้ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีมาตรา 21 ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 ตัวอย่างการใช้อำนาจตุลาการ เช่น วันที่ 21 เมษายน 2520 ธานินทร์ ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ให้ประหารชีวิตฉลาด หิรัญศิริ ให้จำคุกตลอดชีวิต พันโทสนั่น ขจรประศาสน์ พันตรี บุญเลิศ แก้วประสิทธิ พันตรีอิศวิน หิรัญศิริ และพันตรีวิสิษฐ์ คงประดิษฐ์ ในข้อหาสะสมกำลังพลและอาวุธ เพื่อเป็นกบฏ
.

.
ศาลยุติธรรมไทย เคยรับรองการใช้อำนาจของคณะรัฐประหารและรับรองสถานะของประกาศ-คำสั่งคณะรัฐประหารให้เป็นกฎหมาย ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2496 และในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2505 ทำให้ในทางปฏิบัติ ประกาศหรือคำสั่งคณะรัฐประหาร มีสถานะเป็นกฎหมาย มีผลบังคับใช้กับประชาชน เทียบเท่าได้กับกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย
.
การใช้อำนาจนิติบัญญัติของคณะรัฐประหาร ปรากฏให้เห็นผ่านการออกประกาศหรือคำสั่งบางฉบับที่มีลักษณะเป็นกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใหม่ หรือกฎหมายที่แก้ไขกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพิ่มอัตราโทษในความผิดหลายฐาน อาทิ ความผิดฐานชิงทรัพย์
.

.
แม้คณะรัฐประหารจะพ้นจากอำนาจไปแล้ว หรือเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่ผลผลิตของคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะประกาศหรือคำสั่งที่มีสถานะเป็นกฎหมาย จะ “อยู่ยาว” จนกว่ารัฐสภาจะแก้ไขกฎหมายหรือยกเลิกประกาศ-คำสั่งฉบับนั้นไป ตัวอย่างเช่น
.
๐ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 11 มกราคม 2502 กำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการขจัดความไม่เรียบร้อย หากมีกรณีที่บุคคลเข้าไปปลูกที่อยู่อาศัยหรือที่ตั้งการค้าในพื้นที่ทางสัญจรหรือหรือที่สาธารณสมบัติที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ประกาศฉบับนี้ยังคงมีผลใช้บังคับมา 66 ปี ยังไม่ถูกยกเลิกโดยรัฐสภา (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2568)
.
๐ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา “เพิ่มอัตราโทษ” ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ได้แก่ มาตรา 112 มาตรา 118 มาตรา 133 มาตรา 134 มาตรา 135 มาตรา 136 มาตรา 138 มาตรา 198 มาตรา 206 และมาตรา 393 หลังคำสั่งฉบับนี้ ก็ยังไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติจากการเลือกตั้งที่ตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติข้างต้นหรือยกเลิกคำสั่งดังกล่าว (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2568)
.
ประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารชุดล่าสุดอย่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 279 การจะยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมบรรดาประกาศ-คำสั่ง คสช. นั้น หากมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมสามารถทำได้โดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติ ครม. แล้วแต่กรณี แต่ถ้าประกาศ-คำสั่ง มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ เช่น มีลักษณะเป็นกฎหมาย หรือมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตุลาการ การจะยกเลิกจะต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเสนอต่อสภาให้พิจารณา และหากพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. นั้นผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จนประกาศใช้กฎหมาย บรรดาประกาศ-คำสั่ง คสช. ที่ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินั้นๆ ก็จะเป็นอันยกเลิกไป
.

.
นอกจากในรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหาร ที่รับรองให้การใช้ “อำนาจพิเศษ” ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ผิด ทั้งใน ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 มาตรา 17 ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2515 มาตรา 17 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2519 มาตรา 21 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2520 มาตรา 27 รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 44 เมื่อคณะรัฐประหารทำการรัฐประหารแต่ละครั้ง ยัง “ลบล้างความผิดตัวเอง” ด้วยการชิงนิรโทษกรรมตัวเอง เพื่อไม่ให้ต้องรับผิดในฐานกบฏรวมถึงความผิดอื่นๆ ที่เกิดจากการรัฐประหาร
.
ในบรรดากฎหมายนิรโทษกรรม 23 ฉบับ พบว่ามีกฎหมาย 11 ฉบับที่นิรโทษกรรมให้คณะรัฐประหาร จำนวนนี้ เก้าฉบับเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ แต่ในการรัฐประหารสองครั้งหลัง อันได้แก่ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 บทบัญญัติที่นิรโทษกรรมคณะรัฐประหารถูก “ยกระดับ” ไปเขียนไว้ใน รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 และรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557
.

.
เมื่อคณะรัฐประหารเข้ามามีอำนาจ ไม่เพียงแต่ออกประกาศหรือคำสั่งที่มีลักษณะเหมือนออกกฎหมายด้วยตัวเอง แต่จากบทเรียนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พอจะเห็นรูปแบบที่คณะรัฐประหารทำซ้ำๆ คือกำหนดให้มี “สภาแต่งตั้ง” ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติชั่วคราวแทนรัฐสภาที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
.
เมื่อดูผลงานทำงานของสภาแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารชุดล่าสุด แม้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณากฎหมายอย่างรวดเร็ว ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2561 ระหว่างวันที่ 25-28 ธันวาคม 2561 มีการผลักดันวาระการประชุมพิจารณาร่างกฎหมายมากถึง 67 ฉบับ พิจารณาลงมติร่างกฎหมายอย่างน้อย 47 ฉบับ แต่ไม่ได้หมายความว่า เนื้อหากฎหมายที่ สนช. ผ่านนั้น จะมีคุณภาพหรือถูกพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเสมอไป บทเรียนอย่างเป็นรูปธรรม คือกรณีของพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2560 ที่กำหนดให้ ผู้ที่ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับและโทษจำคุก จนสร้างความวิตกให้กับชุมชนริมน้ำที่อยู่มาอย่างยาวนาน เช่น ประชาชนหมู่บ้านปันหยี จังหวัดพังงา ที่เป็นหมู่บ้านกลางน้ำ และดำเนินการใช้ชีวิตมากว่า 300 ปี จนสุดท้าย หัวหน้าคสช. ต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกคำสั่งแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
.
ในทางกลับกัน “สภาแต่งตั้ง” ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือปูทางให้ คสช. “อยู่ยาว” ผ่านการแก้ไขกฎหมาย เช่น แก้ไขรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 กำหนดเงื่อนไขให้ คสช. ตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ ในกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. โดยยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ไป 90 วัน
.
นอกจากนี้ กฎหมายที่ผ่านการพิจารณา สนช. หลายฉบับ มีเนื้อหาที่ขยายอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน เช่น
.
๐ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 กำหนดให้ผู้ที่จะจัดการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจล่วงหน้า อีกทั้งยังเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแทรกแซงการชุมนุม หรือ ควบคุมวิธีการและพื้นที่ในการชุมนุมได้
.
๐ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 สาระสำคัญคือ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อคัดกรองและปิดกั้นเนื้อหาที่คณะกรรมการเห็นว่าก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี แม้ว่าเนื้อหาดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายใดๆ เลยก็ตาม
.
ขณะที่กฎหมายที่มีเนื้อหารับรองสิทธิเสรีภาพประชาชน กลับกลายเป็น “ฝันค้าง” ของประชาชนที่เฝ้ารอกฎหมายนี้ แม้ สนช. จะผลิตกฎหมายออกมาได้รวดเร็ว แต่ไม่ได้มีหลักประกันว่ากฎหมายรับรองสิทธิประชาชนมีโอกาสเข้าสู่การพิจารณาของสภาแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารเสมอไป เช่น
.
๐ ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งมีเนื้อหารับรองสิทธิจดทะเบียนคู่ชีวิตของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผลักดันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจากถึงรัฐบาล คสช. และผ่านความเห็นชอบครม. เมื่อ 25 ธันวาคม 2561 แต่ก็ไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของ สนช. เลย จนครม. รัฐบาลประยุทธ์สอง มาเสนอต่อสภาชุดใหม่หลังเลือกตั้ง 2562 และร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตตกไปหลังพล.อ.ประยุทธ์ยุบสภา หลังเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ก็ไม่มีการเสนอร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตอีก แต่เป็นร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แทน
.
๐ ร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย ถูกเสนอเข้าสู่ สนช. และสนช. พิจารณารับหลักการในวาระหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 แต่สนช. ก็พิจารณาไม่เสร็จ หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ครม. และ สส. เสนอร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหายสี่ฉบับเข้าสภา ผ่านการพิจารณาและประกาศเป็นกฎหมาย
.

.
ในห้วงเวลาที่ประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ หนึ่งในเครื่องมือที่คณะรัฐประหารมักนำมาใช้ควบคุมประชาชน คือการ “ปิดกั้น” เสรีภาพในการแสดงออกหลายประการ และ “ปิดปาก” ด้วยการกำหนดบทลงโทษและดำเนินคดีหากบุคคลใดฝ่าฝืนเงื่อนไขตามประกาศหรือคำสั่งที่คณะรัฐประหารออก
.
รูปแบบการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ปรากฏให้เห็นหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการห้ามออกนอกเคหสถาน ควบคุมพรรคการเมือง ควบคุมสื่อ ห้ามชุมนุมทางการเมือง และในการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดย คสช. ก็มีการจำกัดเสรีภาพประชาชนผ่านการ “เรียกปรับทัศนคติ” – “เรียกบุคคลให้ไปรายงานตัว” ซึ่งในระยะแรกเป็นการออกคำสั่ง คสช. อย่างเป็นทางการโดยมีการประกาศรายชื่อบุคคลที่ต้องเข้ารายงานตัวผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุรวมทั้งมีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา บุคคลที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก และถูกส่งแยกไปคุมขังในค่ายทหารหลายแห่ง ในระยะหลัง คสช. หลีกเลี่ยงข้อวิจารณ์ถึงการใช้อำนาจ โดยปรับวิธีดำเนินการกับผู้เห็นต่างเป็นการไปพูดคุยที่บ้าน นัดกินกาแฟ หรือนัดเจอในสถานที่สาธารณะแทนการเรียกตัวไปที่ค่ายทหาร
.
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1136804255159859&set=a.625664036273886
.
อ่านเต็มๆ บนเว็บไซต์ https://www.ilaw.or.th/articles/52969
.
