
“ดรีลานเดนพุนต์” พรมแดน 3 ประเทศ เนเธอร์แลนเบลเยียม เยอรมนี ตัวอย่างจัดการพรมแดนอย่างสันติ
ผู้เขียน สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์
เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2568
ศิลปวัฒนธรรม
“ดรีลานเดนพุนต์” จุดบรรจบพรมแดน 3 ประเทศ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี ตัวอย่างจัดการพรมแดนอย่างสันติ
“พรมแดน” เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีประเด็นเพียงเสี้ยวมิลลิเมตรก็อาจลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่ถ้าร่วมกันแก้ไขและพัฒนาอย่างสันติ พื้นที่นั้นก็สามารถอำนวยประโยชน์ให้ทุกฝ่ายได้เช่นกัน
อย่าง ดรีลานเดนพุนต์ (Drielandenpunt) ซึ่งเป็นจุดพบกันของชายแดน 3 ประเทศ คือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และ เยอรมนี ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสามารถเที่ยว 3 ประเทศได้ในไม่กี่วินาที ด้วยการวนรอบหลักเขต
ดรีลานเดนพุนต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาวาลเซอร์เบิร์ก (Vaalserberg) ในเมืองวาลส์ จังหวัดลิมเบิร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีความสูง 322.4 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นจุดที่สูงที่สุดของเนเธอร์แลนด์

หลักเขต 3 ประเทศ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี (ภาพ : Inoue-hiro, CC BY-SA 3.0 <https://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0>, via Wikimedia Commons)
ที่นี่กินพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่สัญลักษณ์ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่าง 3 ประเทศในยุโรป
ทว่าถ้าย้อนไปในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 บริเวณดังกล่าวเคยเป็นพรมแดนถึง 4 ประเทศ โดยมี นิวทรัล มอเรสเนต (Neutral Moresnet) เป็นประเทศที่ 4
เรื่องของเรื่อง คือ หลังสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1815 มีการจัดระเบียบยุโรปใหม่ แต่เกิดปัญหาเมื่อเนเธอร์แลนด์ (ที่ตอนนั้นรวมเบลเยียมเข้าไปด้วย) และปรัสเซีย ต่างต้องการควบคุมเหมืองแร่สังกะสี แหล่งความมั่งคั่งในพื้นที่มอเรสเนต
ใน การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (The Congress of Vienna) ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1814 ถึงเดือนมิถุนายน ปี 1815 มีความพยายามรักษาดุลอำนาจหลังจักรวรรดินโปเลียนล่มสลาย แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติเป็นที่น่าพอใจของฝ่ายต่างๆ ได้
ผู้เขียน สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์
เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2568
ศิลปวัฒนธรรม
“ดรีลานเดนพุนต์” จุดบรรจบพรมแดน 3 ประเทศ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี ตัวอย่างจัดการพรมแดนอย่างสันติ
“พรมแดน” เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีประเด็นเพียงเสี้ยวมิลลิเมตรก็อาจลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่ถ้าร่วมกันแก้ไขและพัฒนาอย่างสันติ พื้นที่นั้นก็สามารถอำนวยประโยชน์ให้ทุกฝ่ายได้เช่นกัน
อย่าง ดรีลานเดนพุนต์ (Drielandenpunt) ซึ่งเป็นจุดพบกันของชายแดน 3 ประเทศ คือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และ เยอรมนี ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสามารถเที่ยว 3 ประเทศได้ในไม่กี่วินาที ด้วยการวนรอบหลักเขต
ดรีลานเดนพุนต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาวาลเซอร์เบิร์ก (Vaalserberg) ในเมืองวาลส์ จังหวัดลิมเบิร์ก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีความสูง 322.4 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นจุดที่สูงที่สุดของเนเธอร์แลนด์

หลักเขต 3 ประเทศ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี (ภาพ : Inoue-hiro, CC BY-SA 3.0 <https://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0>, via Wikimedia Commons)
ที่นี่กินพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร แต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่สัญลักษณ์ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่าง 3 ประเทศในยุโรป
ทว่าถ้าย้อนไปในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 บริเวณดังกล่าวเคยเป็นพรมแดนถึง 4 ประเทศ โดยมี นิวทรัล มอเรสเนต (Neutral Moresnet) เป็นประเทศที่ 4
เรื่องของเรื่อง คือ หลังสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1815 มีการจัดระเบียบยุโรปใหม่ แต่เกิดปัญหาเมื่อเนเธอร์แลนด์ (ที่ตอนนั้นรวมเบลเยียมเข้าไปด้วย) และปรัสเซีย ต่างต้องการควบคุมเหมืองแร่สังกะสี แหล่งความมั่งคั่งในพื้นที่มอเรสเนต
ใน การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (The Congress of Vienna) ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1814 ถึงเดือนมิถุนายน ปี 1815 มีความพยายามรักษาดุลอำนาจหลังจักรวรรดินโปเลียนล่มสลาย แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติเป็นที่น่าพอใจของฝ่ายต่างๆ ได้

โปสต์การ์ดแสดงดินแดนนิวทรัล มอเรสเนต ที่มีภาพของสมเด็จพระราชินีวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี และกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยียม (ภาพ : https://www.the-low-countries.com/article/100-years-ago-tiny-country-neutral-moresnet-became-part-of-belgium/)
ท้ายสุดจึงนำสู่การกำเนิดดินแดน “นิวทรัล มอเรสเนต” ในปี 1816 ครอบคลุมอาณาบริเวณ 3.4 ตารางกิโลเมตร ปกครองร่วมกันโดยเนเธอร์แลนด์และปรัสเซีย มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ที่นั่น
จุดเด่นของประเทศเล็กๆ แห่งนี้ คือ เก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ ไม่มีภาษีนำเข้า และประชากรไม่ต้องเกณฑ์ทหาร กลายเป็นการดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้ามาตั้งรกราก ทั้งยังเป็นถิ่นของผู้ใช้ภาษา “เอสเปรันโต” (Esperanto) ซึ่งเป็นภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 อีกด้วย
ต่อมา เมื่อเบลเยียมได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในปี 1830 นิวทรัล มอเรสเนต ก็กลายเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของเบลเยียมและปรัสเซีย กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีบุกเบลเยียมและยึดครองดินแดนนี้ จากนั้นในปี 1915 เยอรมนีก็ผนวกนิวทรัล มอเรสเนต เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) ก็ระบุว่า ให้นิวทรัล มอเรสเนต เป็นของเบลเยียมอย่างถาวร

เจ้าหน้าที่ศุลกากรชาวดัตช์ เบลเยียม และเยอรมัน ที่จุดบรรจบ 4 ประเทศ (ภาพ : https://www.the-low-countries.com/article/100-years-ago-tiny-country-neutral-moresnet-became-part-of-belgium/)
หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อนิวทรัล มอเรสเนต เป็นของเบลเยียม (ที่ได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์แล้ว) และมีชายแดนติดกับเยอรมนี แล้วทำไมดรีลานเดนพุนต์ถึงเป็นจุดชายแดนของเนเธอร์แลนด์อยู่อีก?
คำตอบในเชิงกฎหมายโดยคร่าวๆ ก็คือ เพราะเนเธอร์แลนด์ไม่เคยสูญเสียดินแดนบริเวณนี้ และการสิ้นสุดนิวทรัล มอเรสเนต คือการให้เบลเยียมรับช่วงดินแดนที่เคยเป็นดินแดนกลาง ไม่ใช่ดินแดนของเนเธอร์แลนด์นั่นเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี ได้ร่วมมือกันพัฒนาจุดบรรจบพรมแดน 3 ประเทศ ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความร่วมมือ โดยแต่ละประเทศได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในดินแดนของตน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาเยือน

เขาวงกตบริเวณดรีลานเดนพุนต์ ในเนเธอร์แลนด์ (ภาพ : https://www.drielandenpunt.nl/)
อย่างเนเธอร์แลนด์สร้างหอคอยและเขาวงกต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนทุกวัย ที่นอกจากจะมีทิวทัศน์สวยๆ ให้ชม ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของ 4 ประเทศ (รวมนิวทรัล มอเรสเนต) อีกด้วย หรืออย่างฝั่งเบลเยียมก็สร้างหอชมวิว “บูเดอแวง” (Boudewijntoren) ความสูงราว 50 เมตร ให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของ 3 ประเทศจากมุมสูง ขณะที่เยอรมนีทำเส้นทางเดินเท้าและจักรยานผ่านป่าไผ่
ที่จุดบรรจบพรมแดน 3 ประเทศ มีหลักคอนกรีตสูงราว 4 ฟุต มีตัวอักษร NL (เนเธอร์แลนด์) B (เบลเยียม) และ D (เยอรมนี) สลักอยู่ พร้อมธงของทั้ง 3 ประเทศปักไว้ด้านหลัง นักท่องเที่ยวสามารถเดินรอบหลักคอนกรีต ท่องเที่ยว 3 ประเทศได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ดรีลานเดนพุนต์ จึงเป็นตัวอย่างระดับโลกในการจัดการเรื่องพรมแดนอย่างสันติวิธี นำสู่ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในระดับย่อยอย่างเศรษฐกิจในชุมชนโดยรอบ และในระดับใหญ่คือความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_154362
อ้างอิง :
https://www.brusselstimes.com/742058/the-forgotten-tale-of-neutral-moresnet
https://www.reuters.com/article/world/europes-neutral-anomaly-fetes-200-years-beyond-borders-idUSKCN0YC0GG/
https://www.britannica.com/event/Congress-of-Vienna
https://courses.lumenlearning.com/suny-hccc-worldhistory2/chapter/the-congress-of-vienna/
https://www.drielandenpunt.nl/
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 มิถุนายน 2568
https://www.silpa-mag.com/history/article_154362