วันจันทร์, มิถุนายน 23, 2568

ความเสี่ยงของการทิ้งระเบิดใส่ฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านมีอะไรบ้าง เหมือนต่างอย่างไรกับเหตุการณ์เชอร์โนบิล

พื้นที่ฐานปฏิบัติการนิวเคลียร์นาตันซ์ (Natanz) ของอิหร่านตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล

รีเบกกา โมเรลล์, แอลิสัน ฟรานซิส, วิกตอเรีย จิลล์
ทีมข่าววิทยาศาสตร์ของบีบีซีนิวส์
21 มิถุนายน 2025

อิสราเอลได้มุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยมีเป้าหมายเน้นไปที่โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใต้ดินเป็นหลัก

ศูนย์ปฏิบัติการนิวเคลียร์นาตันซ์ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ตามรายงานของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)

พื้นที่ที่ถูกโจมตีอีกแห่งหนึ่งคือ ฐานปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ (Fordo) ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา การจะเข้าถึงศูนย์ใต้ดินแห่งนี้ได้ จำเป็นต้องใช้ระเบิดทำลายบังเกอร์ หรือ "บังเกอร์บัสเตอร์"(bunker buster) ที่ทรงพลัง ซึ่งมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ครอบครอง

เช่นนั้นแล้วความเสี่ยงของการทิ้งระเบิดใส่ฐานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ คืออะไร ?

IAEA ระบุว่าการโจมตีศูนย์ปฏิบัติการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็น "เรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง"

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 มิ.ย.) ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA กล่าวว่าการยกระดับทางทหาร "เพิ่มความเสี่ยงต่อการรั่วไหลทางรังสี ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม"

โรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเหล่านี้มีไว้เพื่อเพิ่มสัดส่วนของยูเรเนียมชนิดพิเศษ หรือไอโซโทปหนึ่งให้มากขึ้น

ศ.แพดดี รีแกน จากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์และห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งชาติของสหราชอาณาจักรอธิบายว่า "เมื่อคุณขุดยูเรเนียมขึ้นมาจากพื้นดิน มันจะอยู่ในสองรูปแบบคือ 99.3% เป็นยูเรเนียม-238 และอีก 0.7% หรือประมาณ 1 ใน 150 อะตอม เป็นยูเรเนียม-235 ซึ่งเป็นชนิดที่คุณต้องใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์"

การระเบิดของพลังงาน

กระบวนการเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ หมายถึง การเพิ่มปริมาณยูเรเนียม-235

ศ.รีแกน อธิบายว่า กระบวนการนี้ทำโดยการเปลี่ยนยูเรเนียมให้อยู่ในรูปก๊าซ แล้วหมุนด้วยเครื่องที่เรียกว่า "เครื่องหมุนเหวี่ยง" (centrifuge)

เนื่องจากยูเรเนียม-238 มีมวลมากกว่ายูเรเนียม-235 ซึ่งเป็นชนิดที่ต้องการสำหรับการใช้งาน ทั้งสองจึงแยกออกจากกันขณะหมุน และจะทำซ้ำ ๆ อีกหลายครั้งเพื่อเพิ่มระดับการเสริมสมรรถนะ

โดยทั่วไปโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะประมาณ 3–5% เพื่อสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบควบคุมที่ปล่อยพลังงานได้

แต่ถ้าเป้าหมายคือสร้างอาวุธนิวเคลียร์จะต้องใช้ยูเรเนียม-235 ในระดับสูงมาก โดยต้องอยู่ประมาณ 90%

โดยพื้นฐานแล้ว ยิ่งยูเรเนียมถูกเสริมสมรรถนะมากเท่าใด พลังงานที่ปล่อยออกมาเมื่ออะตอมแตกตัวก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น



IAEA ระบุว่า ยูเรเนียมของอิหร่านมีระดับการเสริมสมรรถนะถึงประมาณ 60% ซึ่งถือว่าเข้าใกล้ระดับที่สามารถนำไปใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์อย่างมาก

แต่การยิงจรวดใส่คลังเก็บยูเรเนียมเสริมสมรรถนะที่จัดเก็บอย่างเหมาะสม จะไม่ก่อให้เกิด "อุบัติเหตุนิวเคลียร์" ในระดับเดียวกับภัยพิบัติที่ฟุกุชิมะหรือเชอร์โนบิล

ศ.จิม สมิธ จากมหาวิทยาลัยพอร์ทสมัธ ซึ่งศึกษาผลกระทบหลังเหตุการณ์เชอร์โนบิล อธิบายว่า "ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะสูงจะมีระดับกัมมันตภาพรังสีมากกว่ายูเรเนียมที่ไม่ได้เสริมสมรรถนะประมาณ 3 เท่า แต่ในภาพรวมแล้ว ทั้งสองแบบก็ไม่ได้จัดว่ามีระดับกัมมันตภาพรังสีที่สูงมากนัก และไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง"

"สิ่งที่เราวิตกมากกว่าคือสิ่งที่เรียกว่า 'ผลิตภัณฑ์ฟิชชัน' (fission products) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการแตกตัวของอะตอมยูเรเนียมเมื่ออยู่ในเตาปฏิกรณ์หรืออาวุธนิวเคลียร์ เช่น ซีเซียมกัมมันตรังสี (radioactive caesium), สตรอนเทียมกัมมันตรังสี (radioactive strontium) และไอโอดีนกัมมันตรังสี (radioactive iodine) สารเหล่านี้ต่างหากที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง"

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากไม่มีปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดขึ้นที่โรงงานเสริมสมรรถนะ และการระเบิดจากระเบิดไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาได้ ผลิตภัณฑ์ฟิชชันที่เป็นสารกัมมันตรังสีอันตรายเหล่านี้จึงจะไม่เกิดขึ้น

สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแทนคือ การระเบิดอาจทำให้ยูเรเนียมกระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ

ภัยคุกคามเฉพาะพื้นที่

IAEA ตรวจพบการปนเปื้อนทางรังสีภายในพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการนิวเคลียร์นาตันซ์ หลังเหตุระเบิด แต่ระบุว่าระดับรังสีภายนอกยังคงปกติ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ศ.แคลร์ คอร์กฮิลล์ ประธานด้านแร่ธาตุและการจัดการกากกัมมันตรังสีจากมหาวิทยาลัยบริสตอล อธิบายว่า "รังสีจากยูเรเนียมไม่ได้แผ่กระจายไปไกลนัก" แต่สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ยังคงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ

"ในแง่ของพิษต่อร่างกายมนุษย์ คุณไม่ควรสูดดมหรือกลืนอนุภาคยูเรเนียมเด็ดขาด"

เธออธิบายว่า อนุภาคยูเรเนียมอาจฝังตัวอยู่ในเซลล์ภายในปอดหรือกระเพาะอาหาร และค่อย ๆ สลายตัวด้วยกัมมันตภาพรังสีอย่างช้า ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายได้"

นอกจากความเสี่ยงจากรังสี ยังมีความเสี่ยงทางเคมีด้วย

ศ.ไซมอน มิดเดิลเบิร์ก นักวิทยาศาสตร์วัสดุนิวเคลียร์จากมหาวิทยาลัยบังกอร์ กล่าวว่า "หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เครื่องหมุนเหวี่ยงปล่อยยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์ (uranium hexafluoride) ซึ่งเป็นก๊าซที่บรรจุอยู่ภายในเครื่องออกมา จะถือเป็นอุบัติเหตุทางเคมีที่รุนแรงมาก"

"เมื่อยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์สัมผัสกับความชื้นในอากาศ มันจะกลายเป็นกรดที่กัดกร่อนและเป็นอันตรายอย่างรุนแรง"

อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะจำกัดอยู่ในพื้นที่เฉพาะจุด ๆ หนึ่งเท่านั้น และไม่กระจายเป็นวงกว้าง

ทาง IAEA ระบุว่า ศูนย์รับมือเหตุฉุกเฉินขององค์กรทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และจะยังคงติดตามสถานะของสถานที่ทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมถึงระดับรังสีในพื้นที่ต่อไป

https://www.bbc.com/thai/articles/crrq99vzgk7o