
วิเคราะห์ความเป็นไปได้ 3 ข้อ เหตุใดฮุน เซน ต้องใช้จุดยืนแข็งกร้าว กรณีพิพาทชายแดนไทย-คลิปเสียงหลุด
ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุทางการทหารในพื้นที่พิพาทช่องบกจนมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ได้นำไปสู่การรั่วไหลของบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำสองชาติ นี่ถือเป็นเรื่องผิดคาดสำหรับหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระดับ 'อา-หลาน' ของคู่สนทนา
นักวิชาการ นักวิเคราะห์ แม้แต่นักการเมืองทั้งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่เห็นต่าง ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมถึงการพยายามหาคำตอบว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คืออะไรกันแน่
เพื่อเพิ่มมุมมองการวิเคราะห์และเข้าใจปัญหามากขึ้น บีบีซีไทยได้พูดคุยกับนักวิเคราะห์การเมืองและนักวิชาการชาวต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อหาคำตอบว่าแรงจูงใจทั้งหมดของ ฮุน เซน ที่ต้องใช้ท่าทีแข็งกร้าวและไม่ประนีประนอมกับไทยคืออะไร

ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร (ขวา) เดินเคียงข้างกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน เซน (ซ้าย) ในงานวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน ที่กรุงพนมเปญ

ภาพถ่ายแสดงให้เห็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร (ที่ 2 จากขวา) กำลังสนทนากับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาพลเอกฮุน มาเนต (ที่ 2 จากซ้าย) ยังมีอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ขวาสุด) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา ฮุน มาเน (ซ้ายสุด) นั่งร่วมโต๊ะในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน ที่กรุงพนมเปญ
1. ฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชา กำลัง 'เข้าตาจน' ในประเทศจริงไหม ?
คำตอบโดยสรุปที่บีบีซีไทยได้จากผู้เชี่ยวชาญก็คือ ไม่
การเมืองภายในกัมพูชาเกิด "การเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับที่เกิดได้เพียงครั้งเดียวในรอบชีวิตของคนรุ่นหนึ่ง" ขึ้นจริง ๆ เมื่อปี 2566 ตอนที่สมเด็จฮุน เซน ซึ่งครองอำนาจสูงสุดเกือบสี่ทศวรรษส่งต่อตำแหน่งดังกล่าวให้กับลูกชายตัวเองอย่าง ฮุน มาเนต ตามคำอธิบายของ วีร็อก อู นักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นประธานและผู้ก่อตั้ง Future Forum สถาบันคลังสมองด้านนโยบายสาธารณะในกัมพูชา
เขาชี้ว่า เมื่อมองจากมิตินั้น การวิเคราะห์ว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังเข้าตาจนตอนนี้จึงดูจะ "ปราศจากองค์ประกอบที่ครบถ้วน" เพราะการเปลี่ยนผ่านจบลงไปแล้ว
รศ.ดร.วิล เบรห์ม ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา จากมหาวิทยาลัยแคนเบอร์ราในออสเตรเลีย มองคล้ายกันว่า กัมพูชาที่ไร้ซึ่งฝ้ายค้านที่เข้มแข็งในตอนนี้ เปิดโอกาสให้รัฐบาลพรรคเดียว "สามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ"
เมื่อปี 2560 ศาลสูงสุดของกัมพูชาสั่งยุบพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ Cambodia National Rescue Party (CNRP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของประเทศ ทำให้สมาชิกทั้ง 118 คน ถูกตัดสิทธิร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
เมื่อบีบีซีไทยถามว่า มีสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศกัมพูชาหรือไม่ ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาตอนนี้ หรือกระตุ้นให้สมเด็จฮุน เซน ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างที่เขาได้ทำลงไป
รศ.ดร.วิล ตอบว่า "คำถามนี้มันยากเพราะความขัดแย้งทั้งหมดเกิดขึ้นภายในพรรคเอง มันจึงค่อนข้างคลุมเครือ และยากต่อการวิเคราะห์หรือทำความเข้าใจ คุณต้องอาศัยการ 'อ่านสัญญาณ' เพื่อจับทิศทางว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่… แต่ผมไม่คิดว่าตอนนี้จะมีการเมืองภายในของกัมพูชาที่แท้จริงเกิดขึ้น"
2. หรือแรงจูงใจของ ฮุน เซน เกิดจากสถานการณ์การเมืองในไทย และผสมโรงกับกระแสชาตินิยม ?
นักวิชาการจากออสเตรเลียผู้นี้ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์ซึ่งเริ่มต้นจากข้อพิพาททางชายแดนก่อนพัฒนาขึ้นมาเป็นเกมการเมืองอันดุเดือดระหว่างประเทศ เกิดขึ้นแค่เพราะ "โอกาสและจังหวะ"
เขามองว่าสมเด็จฮุน เซน น่าจะเข้าใจการเมืองไทยดีพอสมควร โดยเฉพาะรัฐบาลไทยชุดนี้ที่เป็นรัฐบาลผสม ที่มีผู้คนหลากกลุ่มและพรรคการเมืองหลายจุดยืนมายึดโยงกันไว้อย่างเปราะบาง
"ไม่ยากเลยที่จะฉวยโอกาสจากความไม่สมดุลของอำนาจแบบนี้ และมันก็อาจจะสมเหตุสมผลที่จะทำแบบนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อพิพาทเรื่องพรมแดน รวมถึงกระแสชาตินิยม [ของทั้งสองประเทศ] ที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างมาก" รศ.ดร.วิล กล่าว

ประธานวุฒิสภากัมพูชา ฮุน เซน (ที่ 2 จากซ้าย) และนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต (ขวา) ขณะเดินที่อนุสาวรีย์เอกราชระหว่างพิธีเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราชครบรอบ 71 ปีของกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2567
วีร็อก อู มีความเห็นสอดคล้องกัน เขาย้ำว่าในขณะที่กัมพูชาไม่ได้มีปัญหาการเมืองภายในที่แบ่งแยกจนบีบรัฐบาลได้ เขาชี้ว่าประวัติศาสตร์ในอดีตกลับสะท้อนว่า ความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยเองก็กลายเป็นชนวนให้เกิดจุดวิกฤตหรือจุดแตกหัก (flashpoint) ได้
เขาเสริมว่า หากมองว่าจุดเริ่มต้นอยู่ที่ประเด็นว่ามีพื้นที่พิพาทอยู่จริง ดังนั้น เหตุการณ์เช่นนี้จึงมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีต้นตอมาจากแรงกดดันภายในประเทศกัมพูชา และที่มากกว่านั้นคือกระแสชาตินิยมของทั้งสองประเทศก็ยิ่งทวีความรุนแรงให้สถานการณ์เพิ่มขึ้นไปอีก
รศ.ดร.วิล วิเคราะห์เพิ่มเติมมาที่ประเด็นการปล่อยคลิปเสียงว่า เมื่อมีการปะทุขึ้นของกระแสชาตินิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนสื่อโซเชียลมีเดีย ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะดับไฟที่ลุกขึ้นไปแล้ว ขณะเดียวกันสถานการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็น "โอกาสที่มาถึงเอง" สำหรับสมเด็จฮุน เซน ที่มองว่าตัวเองน่าจะ "คว้าชัยชนะทางการเมืองได้ไม่ยาก"
ในประเด็นนี้ จะพบว่าบัญชีเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน เซน มีผู้ติดตามสูงถึง 14 ล้านบัญชี แม้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแต่ละบัญชีมีการยืนยันตัวตนหรือไม่ก็ตาม

"ถ้าคุณต้องการให้ผู้นำหญิงคนนี้พ้นจากตำแหน่ง ก็แค่ปล่อยคลิปนี้ และเธอก็จะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับผลกระทบเต็ม ๆ ซึ่งก็กำลังเป็นแบบนั้นอยู่ในตอนนี้" นักวิชาการจากออสเตรเลียระบุ
"ถ้าคุณแชร์คลิปเสียงกับนักการเมืองคนอื่น ๆ อีก 80 คน ซึ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นนักการเมืองทั้งหมดหรือเปล่า แล้วมีใครแชร์คลิปนี้ต่อให้คนในฝั่งไทยไหม เพราะทันทีที่มีใครฝั่งไทยถือครองคลิปนี้ มันก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ทันที ถ้าคุณต้องการให้ผู้นำหญิงคนนี้พ้นจากตำแหน่ง ก็แค่ปล่อยคลิปนี้ และเธอก็จะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับผลกระทบเต็ม ๆ ซึ่งก็กำลังเป็นแบบนั้นอยู่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอคงจะอยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่นาน"
"มันแทบจะไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนปล่อยคลิป เพราะในเมื่อ ฮุน เซน เป็นคนอยู่ในสายโทรศัพท์นั้น เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์นี้ในสายตาสาธารณะ และเขาก็น่าจะพยายามใช้สถานการณ์นี้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองอยู่ดี แม้ว่านั่นจะหมายถึงการทำลายมิตรภาพที่เขามีกับครอบครัวของเธอ [แพทองธาร] ก็ตาม"
นักวิชาการออสเตรเลียรายนี้สรุปว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอาจเป็นเพราะปัจจัยจากการเมืองในไทยมากกว่า

ภาพนายกรัฐมนตรีของไทย แพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ร่วมถ่ายภาพหมู่ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษครั้งแรก ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2567 ปัจจุบันมีพรรคภูมิใจไทยที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลแยกตัวออกมาแล้ว
"รัฐบาลไทยตอนนี้มีหลายกลุ่มหลายฝ่ายมาก และถ้ามีใครสักคนต้องการโค่นนายกรัฐมนตรี มันก็ทำได้ง่ายพอสมควร ดังนั้นสำหรับผมแล้ว มันดูสมเหตุสมผลกว่ามาก… ถ้าคุณเป็นนักการเมืองไทยและอยากโจมตีนายกฯ โดยไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นฝีมือคุณ ไม่ต้องลงมือเองให้สกปรก มันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้"
เขาชี้ว่าหากทฤษฎีว่ามีบุคคลไทยได้รับคลิปเสียงนี้ไปจริง ๆ คนผู้นั้นก็จะมีอำนาจที่จะกดดันได้ทั้งนายกรัฐมนตรีของไทยและสมเด็จฮุน เซน ขึ้นมาทันที
โดยสมเด็จฮุน เซน ซึ่งต้องหาทางรับมือ อาจมองว่าหนึ่งในทางออกของเขาก็คือ ยอมรับว่าเขาเป็นคนปล่อยคลิปเอง และพยายามตีความว่าทำไปเพื่ออัตลักษณ์ของชาวกัมพูชา
"แต่สำหรับนายกรัฐมนตรีของไทยแล้ว คลิปนี้อาจหมายถึง 'จุดจบทางการเมือง' เธออาจจะต้องลาออกในที่สุด ซึ่งน่าเห็นใจมากสำหรับเธอ แต่ผมก็ไม่รู้นะ ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอก เรื่องทั้งหมดนี้มันคลุมเครือมาก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน"
3. หรือทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะต้องการตอบโต้ 'การดูถูก'

"คุณต้องเข้าใจก่อนว่ากัมพูชาผ่านยุคสมัยแห่งความอัปยศมาเกือบศตวรรษ" นักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชากล่าว
ในรายงานข่าวว่าด้วยความผิดพลาดทางการเมือง-การทูตของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ปมคลิปเสียงหลุด สนทนากับสมเด็จฮุน เซน ที่บีบีซีไทยรายงานไปก่อนหน้านี้ เราได้คุยกับ ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งสะท้อนให้เราฟังว่าสิ่งสำคัญมาก ๆ ประการหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความขัดแย้งครั้งนี้คือความจริงที่ว่าแม้สองประเทศจะอยู่ใกล้กัน แต่ไม่ได้มีความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งเพียงพอ
เมื่อเรามีโอกาสได้คุยกับนักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชาในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ เราจึงมีโอกาสได้สอบถามเขาถึงมุมมองอัตลักษณ์ความเป็นคนกัมพูชาจากปากของคนกัมพูชาเอง
"ก่อนอื่นเลย คุณต้องเข้าใจก่อนว่ากัมพูชาผ่านยุคสมัยแห่งความอัปยศมาเกือบศตวรรษ" วีร็อกเริ่มอธิบาย
เขาเล่าว่ากัมพูชาเคยทั้งตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และหลังจากยุคอาณานิคม ก็เข้าสู่ช่วงสันติภาพแค่เพียงสั้น ๆ ก่อนจะจมดิ่งเข้าสู่สงครามกลางเมือง แล้วก็ยังถูกลากเข้าสู่สงครามเวียดนามโดยสหรัฐฯ
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นยิ่งเลวร้ายลงไปอีก กัมพูชาเผชิญหน้ากับการขึ้นมาของระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเขมรแดง ภายใต้การนำของพอลพต ซึ่งเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมและความโหดร้าย และถึงแม้สงครามจะจบลง ประเทศก็ยังหนีไม่พ้นจากความขัดแย้งภายในจนกระทั่งปลายทศวรรษ 1990
"แม้กระทั่งวันนี้ ยังมีร่องรอยของความไม่มั่นคงและความไม่แน่นอนหลงเหลืออยู่ สำหรับคนรุ่นเก่า พวกเขาผ่านความทุกข์ ความกลัว และความรุนแรงมานานจนยากที่จะรู้สึกมั่นคงในระยะยาว พวกเขาอ่อนไหวและรู้สึกกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองได้ง่ายมาก"

ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2518 ที่กรุงพนมเปญ ระหว่างช่วงสงครามกลางเมือง แสดงให้เห็นหญิงคนหนึ่งร่ำไห้ต่อหน้าศพสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อรายสุดท้ายของความขัดแย้งครั้งนี้
ชาวกัมพูชารายนี้มองว่าแม้ไทยจะไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้ แต่ทั้งสองประเทศกลับมีอัตลักษณ์บางอย่างที่คล้ายคลึงกัน
"ในบางแง่มุม ทั้งสองประเทศมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือความหวาดกลัวและความรู้สึกซับซ้อนภายใน เราไวต่อการถูกดูถูกมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ถ้ามันสื่อถึงการดูถูกหรือการถูกมองต่ำ เราก็จะตอบโต้ทันที เรารับไม่ได้"
นอกจากนี้ เขายังมองด้วยว่าทั้งสองประเทศมีปม "ความรู้สึกด้อยค่ากว่าชาติตะวันตก" (interior complex) ซึ่งสะท้อนได้จากความรู้สึกชืนชมคนผิวขาว มองว่าคนผิวขาวคือต้นแบบความงาม ความเจริญ สะท้อนของความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง "และเมื่อคุณไม่มั่นใจในตัวเอง คุณก็จะพยายามมองคนอื่นให้ต่ำกว่าคุณ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง"
"เรา [กัมพูชา] ก็เป็นแบบนั้น แค่หนักกว่า เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่ามาก เรามี 'ปมแห่งความสูญเสีย' ฝังอยู่ในชาติ และนั่นทำให้เราหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจประเทศรอบข้าง โดยเฉพาะเวียดนาม และต่อมาก็คือจีน"
แต่เขาอธิบายว่า แนวคิดเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากกัมพูชาเองได้เห็นโลกมากขึ้น และกลัวน้อยลง ความสัมพันธ์กับจีนเองก็ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่ในอดีตเขาสะท้อนว่าคนกัมพูชาไม่ไว้ใจชาวจีนเลย
"เราเคยมองสหรัฐฯ เป็นฮีโร่ในอุดมคติ เหมือนกับภาพในหนังฮอลลีวูด ประเทศมหาอำนาจที่ไม่มีวันทำผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ความนิยมสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่ความรู้สึกเชิงบวกต่อจีนก็เพิ่มขึ้น "
"สำหรับไทยก็คล้ายกัน เราเคยมองไทยว่าเป็นภาพแทนของความเจริญ คนกัมพูชามองไทยผ่านหนังไทย ผ่านการไปเยือนกรุงเทพฯ เห็นถนนกว้าง ตึกสูง สะพานใหญ่ เราเคยรู้สึกทึ่ง จนเมื่อไม่นานมานี้ เราเริ่มมีสิ่งเหล่านี้ในประเทศของเราเอง ความรู้สึกยกย่องไทยแบบสุดโต่งก็เริ่มลดลง กลายเป็นมุมมองที่เป็นจริงมากขึ้นว่า ไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง มีทั้งด้านดีและไม่ดี"
"แต่สิ่งที่คุณอาจแปลกใจคือ คนกัมพูชารู้เรื่องประเทศไทยมากกว่าที่คนไทยรู้เรื่องกัมพูชาซะอีก"

เมื่อบีบีซีไทยถามว่า แต่ในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดเหตุขัดแย้งรอบนี้ ดูเหมือนประชากรของทั้งสองประเทศจะแสดงความเห็นต่างและขัดแย้งบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เขามองว่าอย่างไร
วีร็อกตอบว่า บางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองประเทศมีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งวัฒนธรรม เสื้อผ้า เพลง อาหาร หรือแม้แต่ความเชื่อพื้นบ้าน และเมื่อคุณมีอะไรที่คล้ายกันมาก ๆ มันก็จะมีการแย่งชิงกันเรื่อง 'ใครเป็นต้นฉบับ' หรือ 'ของใครดั้งเดิมกว่า' ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกแบบพี่น้องที่แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา
"ผมคิดว่าแนวโน้มแบบนี้จะยังอยู่ต่อไป แต่คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้เกิดความเกลียดชังกันอย่างรุนแรงนะ มันจะเป็นความรู้สึกแข่งขันกันมากกว่า ไม่ใช่ความเกลียดชัง"
และเมื่อย้อนกลับมาที่ภาพรวมทางการเมืองเขาไม่คิดว่าความขัดแย้งจะรุนแรงและลามไปถึงการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตหรือกลายเป็นความตึงเครียดระยะยาว
"คำถามคือ เราจะทำยังไงให้ผู้คนใจเย็นลง และมองภาพรวมให้มากขึ้น แทนที่จะโยนคำพูดรุนแรงใส่กันไปมา?
https://www.bbc.com/thai/articles/c9qxlr4wlv4o