
ทำไมจึง ‘หมิ่น’ อำนาจไม่ได้?
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2568
ธงชัย วินิจจะกูล
5 เมษายน พ.ศ.2568
เราเคยได้ยินคำคมของฝรั่งที่กล่าวว่า “อำนาจเป็นสิ่งฉ้อฉล อำนาจสมบูรณ์ฉ้อฉลอย่างสมบูรณ์แบบ (power corrupts, absolute power corrupts absolutely)”
ถ้าเชื่อเช่นนั้น ประชาชนควรตรวจสอบด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียน และกำราบอำนาจให้อยู่ในการควบคุมของเรา
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2568
ธงชัย วินิจจะกูล
5 เมษายน พ.ศ.2568
เราเคยได้ยินคำคมของฝรั่งที่กล่าวว่า “อำนาจเป็นสิ่งฉ้อฉล อำนาจสมบูรณ์ฉ้อฉลอย่างสมบูรณ์แบบ (power corrupts, absolute power corrupts absolutely)”
ถ้าเชื่อเช่นนั้น ประชาชนควรตรวจสอบด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียน และกำราบอำนาจให้อยู่ในการควบคุมของเรา
แต่ทำไมในสังคมไทย การล้อเล่น เยาะเย้ย ดูหมิ่นผู้มีอำนาจจึงเป็นความผิดระดับคอขาดบาดตาย?
ได้อ่านบันทึกที่เล่ารายละเอียดในห้องพิจารณาคดีทนายอานนท์ นำภา ถอดเสื้อประท้วงศาลกันหรือยังครับ
ผมเห็นว่าเป็นการโต้แย้งกันระหว่างผู้พิพากษา ทนาย จำเลย และประชาชนที่ไปร่วมฟังการพิจารณาคดีครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ระบบกฎหมายไทย
การโต้แย้งกันในวันนั้น (5 มีนาคม 2568) สืบเนื่องมาจากการพิจารณาคดีก่อนหน้านั้น (ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567) ซึ่งอานนท์ถอดเสื้อประท้วงการพิจารณาคดี ที่ไม่ยอมเรียกหลักฐานตามที่จำเลยต้องการ ลงท้ายศาลสั่งเพิ่มอีกคือ 1) สั่งตัดพยานจำเลยออกหมด แล้วนัดวันตัดสินคดีเลย 2) สั่งให้ผู้ฟังการพิจารณาคดีห้ามพูดอะไร ต่อมาให้ออกจากห้องไป และ 3) ถือว่าอานนท์ละเมิดศาล เป็นความผิดต่างหากอีกคดีหนึ่ง
ในการพิจารณาคดีวันที่ 5 มีนาคม ก็เกิดการโต้แย้งกับฝ่ายจำเลยและประชาชนในห้องนั้นอีกครั้ง อานนท์ก็ถอดเสื้อประท้วงอีกครั้ง ผู้พิพากษาต้องลุกจากบัลลังก์ไป ก่อนกลับมามีคำสั่ง ให้ประชาชนผู้เข้าฟังห้ามทำอะไรทั้งสิ้น “ให้หายใจได้อย่างเดียว” (ข้อความจากรายงานโดย iLaw https://www.ilaw.or.th/articles/51188)
ที่ผมเห็นว่าสำคัญ เพราะหลายปีที่ผ่านมามีการลงโทษผู้ไปฟังการพิจารณาคดีด้วยข้อหาละเมิดอำนาจศาลอย่างน่าพิจารณาหลายครั้ง ในสองครั้งที่กล่าวถึงนี้ยิ่งน่าพิจารณามากเข้าไปอีกว่าผู้พิพากษามีอำนาจขนาดไหน ที่ว่าละเมิดอำนาจศาลนั้น ละเมิดอะไร อย่างไรจึงละเมิด
ผมพอเข้าใจจุดประสงค์ของกฎหมายที่ให้อำนาจผู้พิพากษาไว้ จึงไม่แน่ใจว่าคำสั่งเหล่านั้นเป็นการใช้อำนาจอย่างไร คนในระบบกฎหมายและสังคมไทยต้องถกเถียงกันเพื่อกำหนดอำนาจของศาลให้กระจ่างกว่านี้
ตัดภาพไปที่กรณีท่านประธานสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา สั่งห้ามฝ่ายค้านมิให้พาดพิงไปถึงท่านทักษิณ ชินวัตร ในญัตติอภิปรายไม่วางใจนายกรัฐมนตรี
ในแง่เบื้องหน้าเบื้องลึกและเหตุหรือผลทางการเมือง มีผู้รู้ให้ความเห็นกันมากแล้ว ในแง่กฎหมายว่าประธานสภามีอำนาจทำเช่นนั้นหรือไม่ ผมไม่มีความรู้ที่จะถกเถียงตีความข้อกำหนดกฎหมาย รอฟังผู้รู้ดีกว่า
แต่ผมสนใจในแง่วัฒนธรรมทางความคิดของสังคมไทยว่า ทำไมการพาดพิงไปถึงผู้มีอำนาจนอกรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในพรรคเพื่อไทย และเป็นพ่อของนายกฯ ด้วยนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญคอขาดบาดตายระดับชาติ ถึงขนาดประธานรัฐสภายอมพลีชีพทางการเมือง ออกคำสั่งที่ดูผิดปกติเช่นนั้น
ทำไมคนที่อยู่ในสถานะทางอำนาจแบบทักษิณ จึงกลายเป็นผู้สูงส่งถึงขนาดก้าวล่วงไม่ได้ ต้องปกป้องไม่ให้ระคายผิวกันขนาดนั้น
เพราะเป็นทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง หรือเพราะอำนาจของเขาอยู่ในสถานะที่จะยอมให้ถูก “หมิ่นอำนาจ” ไม่ได้
[ปัญหามิได้อยู่ตรงที่ว่าเขาเป็นคนที่สมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองเทียบได้กับอภิสิทธิ์ชนคนอื่นหรือไม่ คำถามแบบนั้นเป็นกลอุบายสกปรกของพวกโหนสถาบัน ผมไม่สนใจประเด็นนี้ ผมสนใจปัญหาที่ว่าทำไมอำนาจระดับสูงเหนือคนมากมาย เหนือพรรค สภา นายกฯ หรือเหนือชีวิตของคนธรรมดา จึงกลายเป็นเขตหวงห้ามที่ประชาชนวิจารณ์ไม่ได้ ห้ามทำให้ระคายเคือง ห้ามล้อเล่น ห้าม “หมิ่นอำนาจ”]
ความสงสัยนี้ทำให้ผมคิดเลยออกไปถึงคำที่เกี่ยวข้องกับ ม.112 นั่นคือคำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ซึ่งแปลว่า “หมิ่นอำนาจ” ของสถาบัน ชัดเจนว่าคำนี้มิได้มุ่งหมายถึงหมิ่นพระองค์ใดโดยเฉพาะ แต่มุ่งหมายไม่ให้เกิดการหมิ่นอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของสถาบัน
ผมทราบดีว่า ม.112 ตามตัวบทในปัจจุบันนั้นมิใช่ความผิดเพราะ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือ “หมิ่นอำนาจ” ของกษัตริย์แบบสมัยโบราณอีกต่อไปแล้ว แต่หมายถึงการดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายต่อบุคคลที่เป็นประมุข จึงจัดเป็นภัยต่อความมั่นคงฯ
แต่ในคำฟ้องและคำตัดสินคดี 112 หลายต่อหลายคดี กลับมิได้มุ่งคุ้มครองแค่บุคคลที่เป็นประมุข กลับครอบคลุมกษัตริย์ในอดีตและพระราชวงศ์อื่นๆ การกระทำที่ถูกลงโทษก็เกินกว่าการดูหมิ่นอาฆาต แต่รวมถึงการเผยแพร่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบัน ซึ่งกระบวนพิจารณาห้ามพิสูจน์ แม้แต่การเรียกเอกสารเกี่ยวกับสถาบันก็ถือเป็นการหมิ่นอำนาจ
ผมเห็นว่า ม.112 ได้ย้อนกลับไปเป็นกฎหมายห้ามหมิ่นพระราชอำนาจอันสูงส่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เคยเป็นในกฎหมายโบราณ มิใช่คุ้มครองบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐอย่างที่กฎหมาย (ของรัฐโลกวิสัย) มุ่งหมาย
ถ้าเป็นเช่นนั้น คำถามน่าคิดก็คือ ทำไม “อำนาจ” ในวัฒนธรรมไทย จึงช่างสูงส่งเช่นนั้น ถึงขนาดระคายก็ไม่ได้ ถ้าไป “หมิ่น” เข้าก็มักกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ต้องปกป้องกันพัลวัน ถึงขนาดคอขาดบาดตายระดับชาติ
ขยับลงมาจากอำนาจที่สูงส่ง เราจะพบว่าอำนาจของรัฐในระดับลงรองลงมาล้วนได้รับความคุ้มครองทั้งนั้น ละเมิดไม่ได้ หมิ่นไม่ได้ ในระดับมากน้อยลดหลั่นกันไป
เราท่านเคยดูละครไทยที่มีท้องเรื่องอยู่ที่ตำรวจใช้อำนาจฉ้อฉลกันบ้างไหม เคยดูหนังดูละครที่มุ่งวิจารณ์การใช้อำนาจเหลือล้นของกองทัพในทางที่ผิดบ้างไหม ไม่ว่าจะกระทำเลวร้ายระดับชาติอย่างการรัฐประหาร หรือการอ้างความมั่นคงเพื่อทำมาหากินหลายแสนล้านแถมทำอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้วด้วย
เคยดูหนังดูละครที่แตะศาล วิจารณ์พระ ล้อเล่นกับอำนาจระดับสูงบ้างหรือไม่
ยามใดที่มีกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับอำนาจเหล่านี้ ข้อแก้ตัวปกติคือเป็นความทุจริตบกพร่องส่วนบุคคล แต่สถาบันของอำนาจเหล่านั้นยังคงสูงส่งเช่นเคย
เราท่านรู้ดีอยู่ว่านั่นไม่ใช่ความจริง เพราะประชาชนเราซุบซิบนินทา กล่าวร้าย ถากถาง ดูหมิ่น ล้อเล่นกับอำนาจสารพัดเหล่านั้นในชีวิตปกติทุกวี่วัน
ยิ่งอำนาจระดับสูงยิ่งเป็นหัวข้อนินทาเป็นของหวานแทบทุกมื้ออาหาร เพียงแต่เราท่านรู้ดีว่าในวัฒนธรรมไทยนั้นต้อง “อยู่เป็น” คือต้องหน้าไหว้หลังหลอกเป็น ห้ามกล่าวร้าย ถากถาง ล้อเล่น ห้าม “หมิ่นอำนาจ” ออกสู่สาธารณะ
เพราะเราท่านรู้ดีว่าพื้นที่สาธารณะเป็นปริมณฑลสำหรับการประจบประแจง “อวย” อำนาจเท่านั้น
หากมีผู้โต้แย้งว่าไม่ว่าสังคมใดในโลกก็เกรงกลัวอำนาจทั้งนั้น เพราะไม่มีใครอยากเจ็บตัวหรอก ข้อนี้ก็จริงอยู่
แต่ไม่จริงเลยที่ว่าทุกสังคมกลัวในแบบที่เป็นอยู่ในสังคมไทย
การใช้อำนาจฉ้อฉลเป็นท้องเรื่องยอดฮิตของหนังนิยายในหลายสังคมเพราะเขานิยมเสพเรื่องเล่าแบบ David vs Goliath ยิ่งอำนาจระดับสูงจึงยิ่งตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ ยิ่งอำนาจสูงส่งแบบโบราณเช่นกษัตริย์และบาทหลวงยิ่งถูกล้อเลียนเป็นปกติ
สังคมที่เชื่อว่าอำนาจเป็นสิ่งฉ้อฉลจะรังเกียจอำนาจ ถึงแม้ทุกสังคมรู้ว่าจำเป็นต้องมีการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สาธารณะก็ตาม แต่เพราะอำนาจนั้นฉ้อฉลจึงต้องมีมาตรการสารพัดเพื่อจำกัดและป้องกันมิให้อำนาจทำร้ายประชาชน ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน (นี่เป็นหลักการขั้นปฐมของ Rule of Law)
มาตรการหนึ่งทางวัฒนธรรมคือยอมให้มีการล้อเลียน วิพากษ์วิจารณ์ หรือถึงขนาดดูหมิ่นอำนาจเหล่านั้นก็ได้
แน่ใจว่าสังคมไทยเป็นเช่นนั้นหรือ หรือตรงข้าม
ในปรัชญาการเมืองของพุทธเถรวาทนั้น อำนาจเป็นผลหรือเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของบุญบารมี คนมีบุญบารมีสูงก็ย่อมมีอำนาจสูง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมกษัตริย์เท่านั้นจึงเคยมีอาญาสิทธิ์ที่สมบูรณ์
ถ้าผมจะล้อคำคมฝรั่งที่กล่าวถึงในตอนต้น แต่อิงกับปรัชญาพุทธ ผมจะขอกล่าวว่า “อำนาจเป็นผลของบุญกุศล อำนาจสมบูรณ์เป็นผลของบุญกุศลที่สูงส่งสมบูรณ์ power is virtuous, absolute power is absolute virtue”
นี่ต่างหากคือความคิดเข้าใจต่ออำนาจนี่แบบวัฒนธรรมไทย นี่คือความเป็นไทยอีกอย่างหนึ่ง
แม้สังคมไทยจะเปลี่ยนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่มานานเกินร้อยปีแล้ว แต่เราท่านรู้ดีและมักภูมิใจว่ามรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาจากสยามเก่ายังคงมีอยู่อย่างหนาแน่นในทุกวันนี้ มีทั้งที่ประนีประนอม ผสมกลมกลืน และที่ปะทะขัดแย้งกับความคิดแบบสมัยใหม่
จึงไม่แปลกเลยที่เราจะพบว่าหลายคนอ้างคำคมที่ว่าอำนาจนั้นฉ้อฉล ในขณะเดียวกันพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและในทางการเมืองกลับยังอยู่กับความคิดต่ออำนาจในแบบเก่าซึ่งถือว่าอำนาจนั้นเป็นของสูง เพราะเป็นผลจากบุญกุศล จึงล้อเล่นไม่ได้ หมิ่นอำนาจไม่ได้ หากจะทำก็ต้องทำเงียบๆ ไม่ใช่ในที่สาธารณะ
ในทางกลับกัน คนมีอำนาจสามารถดูถูกดูหมิ่นประชาชนในที่สาธารณะได้และทำเป็นประจำ เพราะอำนาจเป็นของสูงที่กระทำต่อคนที่ต่ำกว่า ในสมัยก่อนพื้นที่ตามชายขอบของจิตรกรรมฝาผนังจะเก็บไว้ล้อเลียนชีวิตชาวบ้านซึ่งน่าตลกขบขันน่าเอ็นดูจากสายตาของคนชั้นสูงที่อยู่ในส่วนกลางของภาพแต่ละผนัง
ในสมัยปัจจุบันคนมีอำนาจดูถูกประชาชนด้วยการปิดบังข้อมูล อธิบายสารพัดเรื่องราวในทางสาธารณะด้วยเหตุผลแบบปัญญาอ่อน แถและแบกอย่างตื้นเขินแบบไม่แคร์ว่าประชาชนจะคิดรู้สึกอย่างไร ราวกับว่าประชาชนกินหญ้า ครั้นประชาชนขัดฝืนไม่สยบยอมต่ออำนาจที่ฉ้อฉล ก็จัดการด้วยกฎหมายสารพัด ยับยั้งไม่ให้ประชาชนหมิ่นอำนาจ
หรือว่านี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมรัฐบาลเพื่อไทยไม่ให้ความสนใจกับนักโทษการเมืองเลย ไม่ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ใส่ใจช่วยเหลือให้พวกเขาได้รับการประกันตัว แถมยังติดตามคุกคามคนที่วิจารณ์ต่ออำนาจตามที่เคยปฏิบัติมา
เพราะวันนี้เพื่อไทยได้เป็นนั่งร้านให้แก่อำนาจที่สูงส่งไปแล้ว แถมได้ส่วนแบ่งอำนาจมาเป็นรัฐบาลด้วย จึงจะยอมให้เกิดการหมิ่นอำนาจไม่ได้ ต้องลงโทษพฤติกรรมหมิ่นอำนาจให้เข็ดหลาบ ไม่ว่านักโทษการเมืองเหล่านั้นจะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เป็นคนเสื้อแดง หรือเป็นอะไรก็ตาม.
https://www.matichonweekly.com/column/article_834038