วันจันทร์, พฤษภาคม 05, 2568

‘ทัศนะรัฐบุรุษอาวุโส’ ปรีดี พนมยงค์ ต่อปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

สถานการณ์ความรุนแรงในสี่จังหวัดภาคใต้ กลับมาปะทุอีกในสมัยรัฐบาลตระบัดสัตย์ ข้ามขั้ว ทีมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น มีหลายข้อคิดเห็นเสนอกันไปแล้ว จุดน่าคำนึงอยู่ที่ช่วงสองปีที่ผ่านมา การเจรจาสันติสุขได้หยุดไป

แม้นว่าในรัฐบาลคณะรัฐประหารและชุดสืบทอดอำนาจ โดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา แนวโน้ม ไม่เจรจา ได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมให้รัฐบาลเศรษฐาและแพทองธารใช้สวมรอย จนหลายภาคส่วนปักใจไปแล้วว่า สถานการณ์เลวร้ายจะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน

สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้คัดตอนเอา ทัศนะรัฐบุรุษอาวุโส บางส่วนจากบทความที่ท่านปรีดีได้เขียนไว้เมื่อปลายเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ เรื่อง เอกภาพของชาติกับประชาธิปไตย’ ว่าเป็นแนวคิดต่อปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเสนอเป็นอีกทางออกหนึ่ง

โดยเน้นว่า เอกภาพที่แท้จริง ไม่อาจยึดมั่นอยู่บนอำนาจหรือสัญลักษณ์เพียงลำพัง แต่ต้องหยั่งรากอยู่บนความสมัครใจของประชาชนผ่านประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ

1. เอกภาพของชาติไม่ใช่สิ่งถาวร หากไม่ตั้งอยู่บนความเข้าใจและความยินยอม

ปรีดีหยิบยกกรณีศึกษาจากหลายประเทศ เช่น ไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ เบลเยียม นอร์เวย์ คานาดา ฯลฯ เพื่อชี้ว่าแม้จะอยู่ใต้สัญลักษณ์เดียวกันมานาน เช่น กษัตริย์ หรือรัฐธรรมนูญ แต่ จิตสำนึกแห่งปิตุภูมิท้องที่และความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐส่วนกลางยังคงอยู่ และสามารถนำไปสู่ความร้าวลึกหากไม่ได้รับการเยียวยา

เอกภาพไม่ใช่การกดทับความหลากหลาย แต่คือการจัดการความหลากหลายนั้นด้วยความยุติธรรม

2. ศูนย์กลางของเอกภาพไม่ใช่ สัญลักษณ์รัฐแต่คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน

ตัวอย่างจากประเทศที่มีพระราชาธิบดี แต่ประชาชนกลับไม่รู้สึกเชื่อมโยง เช่น กรณีนอร์เวย์แยกจากสวีเดน หรือพลเมืองฝรั่งเศสในคานาดา สะท้อนให้เห็นว่า สัญลักษณ์ทางอำนาจไม่สามารถหลอมรวมคนได้ หากปราศจากความเป็นธรรมและการยอมรับร่วมกัน

3. ประชาธิปไตยคือกลไกแห่งเอกภาพที่มั่นคงและยั่งยืนที่สุด

ในข้อเสนอของปรีดี วิธีการรักษาเอกภาพที่ดีที่สุดคือ เอกภาพของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎรตามนิยามของประธานาธิบดีลินคอล์น กล่าวคือ:

- รัฐต้องฟังประชาชน

- รัฐต้องตอบสนองความต้องการในทางเศรษฐกิจ

- ประชาชนต้องมีสิทธิมีเสียงจริง

หากไร้ประชาธิปไตย เอกภาพก็เป็นเพียงโครงสร้างเปล่า ๆ ที่เปราะบาง

4. รัฐต้องจัดการกับ ความรู้สึกรักปิตุภูมิท้องถิ่นอย่างเข้าใจ ไม่ใช่กดทับ

ในตอนท้ายของบทความ ปรีดีเตือนว่า ความรักในท้องถิ่น ความยึดโยงกับภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ใช่ปัญหา แต่จะกลายเป็นปัญหา หากรัฐส่วนกลางเพิกเฉย หรือพยายามใช้สัญลักษณ์หรือกำลังเข้ากดทับความรู้สึกนั้น

การใช้แนวคิดแบบเผด็จการ หรือรวมศูนย์อย่างสุดโต่ง ไม่ช่วยรักษาเอกภาพ แต่จะผลักให้ประชาชนถอยห่างออกจากรัฐ

5. เอกภาพของชาติจะลอยเคว้ง หากไม่มีรากฐานจากเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชน

ประโยคสำคัญของปรีดีคือ:

การรักษาเอกภาพของชาติ โดยอาศัยทางจิตที่ปราศจากรากฐานเศรษฐกิจและการเมืองประชาธิปไตย ก็เท่ากับลอยไปลอยมาในอากาศ

ปรีดีจึงเสนอว่ารัฐต้องสร้างปัจจัยสี่ให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง และต้องให้สิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง มิฉะนั้น เอกภาพที่อ้างถึง ก็จะไร้ความหมายในสายตาคนที่ไม่มีแม้แต่ปากท้องหรือสิทธิพื้นฐาน

บทสรุป: เอกภาพที่แท้จริง = ประชาธิปไตย + ความยุติธรรม + การยอมรับความหลากหลาย

ปรีดีไม่ได้ปฏิเสธ เอกภาพแต่เขาไม่ยอมรับ เอกภาพที่กดขี่เขาเห็นว่าเอกภาพควรเป็นผลลัพธ์ของ กระบวนการทางประชาธิปไตยและการดูแลประชาชนอย่างเสมอภาค และเชื่อว่าหากประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของรัฐ เอกภาพก็จะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องบังคับ

#สันติภาพชายแดนใต้ 

https://pridi.or.th/th/content/2020/10/469