วันอังคาร, พฤษภาคม 06, 2568

เสียงจากพี่น้องพุทธตากใบ-นราธิวาส อยากให้หาทางยุติความรุนแรงโดยเร็ว

https://www.facebook.com/watch/?v=716407934385443

The Reporters was live.
11 hours ago
·
ฟังเสียงชาวพุทธในจังหวัดนราธิวาส

PEACETAK:ฟังเสียงชาวพุทธในจังหวัดนราธิวาส เรียกร้องสันติภาพ ยุติการใช้ความรุนแรง หาแนวทางพูดคุยเพื่อหยุดการสูญเสียรายวัน
นายวิจิต สกุลแก้ว ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดนราธิวาส และ นายสุพงษ์ เทพพรหม กำนัน ต.พร่อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
รายงาน : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
.....


The Reporters
14 hours ago
·
UPDATE: ‘ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธ จ.นราธิวาส‘ ห่วงความรุนแรงช่วงนี้ถือเป็นวิกฤตในการดำรงชีวิตชาวพุทธ จี้รัฐบาลเร่งหาทางยุติความรุนแรง จับผู้กระทำผิดอย่างยุติธรรมและหาทงพูดคุยเพื่อสันติภาพ ซึ่งต้องมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน

วันนี้ (5 พ.ค. 68) นายวิจิต สกุลแก้ว ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดนราธิวาส ให้สัมภาษณ์ถึงผลกระทบกับสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า สิ่งที่มีผลกระทบต่อชาวไทยพุทธมีอยู่ 2 ประการ คือ ประการที่ 1 การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และประการที่ 2 ความรู้สึกความปลอดภัยในการที่จะใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของความกลัว ความหวาดระแวง รวมถึงหวั่นวิตกกังวลจนไม่กล้าไปประกอบอาชีพถือเป็นวิกฤติการดำรงชีวิตในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซี่งในขณะที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นบ้านเมืองเราก็ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้ก่อการร้ายได้ เพราะฉะนั้นจึงยังหาความมั่นใจ และความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมยังไม่ได้

นายวิจิต กล่าวต่อว่า จะเห็นว่าในหมู่บ้านที่เป็นทั้งชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมก็ได้ทำอาชีพร่วมกัน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ก็เกิดการหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจกัน ก็จะทำให้มีความรู้สึกว่ากลัวซึ่งกันและกัน ชาวไทยพุทธเองก็รู้สึกว่าคนที่มาอยู่ใกล้เราจะให้ความปลอดภัยกับเราได้หรือไม่ ในขณะที่ชาวไทยมุสลิมอาจจะมีความรู้สึกว่าคนชาวไทยพุทธจะโกรธแค้นเขาหรือไม่ ก็เลยกลายเป็นความไว้วางใจซึ่งกันและกันนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกฝ่าย ต้องพยายาม ตราบใดที่สถานการณ์นี้ยังดำรงอยู่แบบนี้ถือเป็นวิกฤตการณ์ที่น่าห่วงใย โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความมั่นคงในด้านพระพุทธศาสนาก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะพระภิกษุ สามเณร ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของสถานการณ์นี้ ท่านก็ดำรงสัมมาชีพของท่านคอยให้ความรู้ด้านคุณธรรมที่ไม่ได้ยกเว้นว่าจะเฉพาะชาวไทยพุทธหรือชาวไทยมุสลิม ซึ่งในการเทศนาเผยแพร่ธรรมมันเป็นธรรมสากลก็เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ก็จะเห็นว่ามันกระทบกระเทือนไปหมด ซึ่งมันกระทบกระเทือนไปถึงคนที่นับถือพระพุทธศาสนา และนับถือศาสนาอิสลาม

นายวิจิต ยังกล่าวอีกว่า สถานการณ์ในตอนแรกมันอาจจะมีความหวัดกลัว ความหวาดระแวงอาจจะไม่มากเพราะมันมีความรู้สึกว่ามันไม่น่าจะยาวนาน แต่เมื่อมันยาวมาถึง 21 ปี และเหมือนจะเบาบางลงไปบ้าง แต่พอเห็นลักษณะนี้กลายเป็นว่าพื้นฐานมันไม่มีความหวาดระแวง มันยิ่งหวาดผวา และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซึ่งก็คิดอยู่ทุกวันว่าเราจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ คิดแต่อย่างเดียวว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือไม่ เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่า สันติสุข ความสงบสุขในความรู้สึกที่คาดหวังคนไทยพุทธเรา คนไทยมุสลิมที่อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการสันติสุข และสิ่งแรกที่รัฐทุกฝ่ายควรพยายามคือทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวยุติโดยเร็ว

เมื่อถามว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามองว่าหลายอย่างดูมีทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ นายวิจิต กล่าวว่า ในความรู้สึกของคนทั้งประเทศโดยเฉพาะคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรามีความรู้สึกว่าความมั่นใจถึงเหตุการณ์นั้นจะดีขึ้น แต่ที่ผ่านมาถึง 10 ปีแล้ว เข้าสู่ศตวรรษที่ 2 นั้น มันไม่ได้มีอะไรบ่งบอกว่าจะมีอะไรยุตติมีเพียงแค่เวทีการพูดคุย ซึ่งก็เป็นเวทีที่คาดหวังว่าน่าจะนำไปสู่สันติสุข แต่สุดท้ายคุยมาแล้วก็จะเห็นว่าตลอดเวลาการคุย 20 ปีนั้นมันไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาเรื่องสันติสุขได้เลย ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าผู้ที่เข้าสู่กระบวนการพูดคุยนั้นเป็นใคร ซึ่งมันเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าเราแทบไม่ได้เห็นความคืบหน้าของกระบวนการพูดคุย

เมื่อถามถึงช่วงรัฐบาลใหม่ที่ไม่ได้ตั้งคณะพูดคุยมาใหม่นั้น ซึ่งถือเป็นช่วงที่เว้นวรรคอยู่โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็ยังไม่ได้ตั้งคณะพูดคุยนั้นจะทำให้เห็นความรุนแรงชัดเจนขึ้นหรือไม่ นายวิจิต กล่าวว่า มันอาจจะรวม ๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคู่กรณีที่เกิดขึ้นเป้าหมายเขาคืออะไรเขาต้องการให้มีกระบวนการพูดคุยหรือไม่ กระบวนการพูดคุยที่จะนำไปสู่สันติสุขจริง ๆ หรือไม่

“ผมก็เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่คงจะประเมินว่าแม้มีกระบวนการพูดคุยก็ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น เห็นได้ว่ากระบวนการพูดคุยอาจจะไม่ใช่หนทางแห่งสันติสุข แต่ทุกอย่างมันต้องทำควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการพูดคุย ซึ่งก็อาจจะมีความจำเป็นอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกระบวนการใช้กฎหมายด้วยความยุติธรรมนั้น การทำให้บ้านเมืองมีความสันติสุขก็เป็นแนวทางที่จะต้องเดินควบคู่กันไปมันไม่สามารถทิ้งกันได้ ซึ่งการคุยกันมันอาจจะได้รับรู้ถึงสัญญาณของอีกฝ่าย และเราก็มีความเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันน่าจะจบด้วยการพูดคุยกัน แต่มันก็ต้องมีระยะเวลาของมันว่าคุยกันกี่ปีถึงจะจบจะบอกว่าคุยกันไปไม่รู้กี่ปีก็หาที่สิ้นสุดไม่ได้เพราะเราคาดว่าประมาณ 10 ปีเรื่องก็น่าจะจบซึ่งมันก็ทำท่าอยู่ว่า แต่สุดท้ายเข้าปีที่ 21 แล้ว ก็ยังมองไม่เห็นทิศทาง”

ในส่วนที่มีการก่อเหตุครั้งล่าสุดที่มีการก่อเหตุกับเด็ก และคนพิการด้วยนั้น เป็นสิ่งที่มันโหดร้ายเกินไปหรือไม่ และหากเราต้องการแสวงหาหนทางแห่งสันติภาพนั้นควรหยุดการก่อเหตุกับกลุ่มที่อ่อนแอ นายวิจิต กล่าวว่า เป้าหมายจริง ๆ เราต้องเข้าใจก่อนว่า เป้าหมายสิ่งที่เราเรียกว่าเกิดสันติสุขมันจะต้องไม่มีการไล่ล่าไม่มีการเข็นค่าซึ่งกันและกันเพราะฉะนั้นตราบใดที่มันมีการฆ่ามันมีการไล่ล่ากันมันก็จะนำไปสู่สันติสุขไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐเองหรือผู้ที่เห็นต่างจะต้องยืนอยู่บนหลักการว่าเราจะต้องไม่เบียดเบียนใครและสันติสุขมันก็จะเกิดขึ้นและผู้ด้อยโอกาสหรือผู้บริสุทธิ์โดยทั่วไปต่างคนก็ต่างทำมาหากินต่างคนต่างก็มีอาชีพ เพราะฉะนั้นเมื่อความรู้สึกที่ว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกับการกระทำที่มันเกิดขึ้นอยู่และเป้าหมายคือสันติภาพนั้นมันไม่ใช่ มันเหมือนกับว่าเรากำลังล้มล้างสันติสุขมันไม่ใช่เข้าสู่สันติสุขไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลเองฝ่ายมั่นคงเรากำลังเดินไปสู่สันติสุขหรือสันติภาพแต่ละฝ่ายจะต้องไม่ทำอย่างนี้จะต้องไม่มีการเข็นค่าทำลายล้างซึ่งกันและกัน

ส่วนข้อเรียกร้องเร่งด่วนไม่ให้มีเหตุการณ์เลือดไหลในทุกวันนั้นในเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดเราอยากจะเสนอไปยังรัฐบาลในเรื่องใด นายวิจิต กล่าวว่า ประการแรกผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐหรือผู้เห็นต่างต้องมองตัวเองว่าสิ่งที่เราจะดำเนินสู่เป้าหมายคือสันติสุขและสันติภาพนั้นเราเดินมาถูกทางหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัจจัยที่จะลบล้างกระบวนการสันติสุขสันติภาพหรือไม่ถ้าหากเห็นว่าแนวทางที่เรากำลังเดินมาไม่ได้สู่เป้าหมายนั้นก็ควรจะยกเลิกก็ควรจะยุตติ

“ประการสองรัฐบาลควรคำนึงถึงกฎหมายบ้านเมืองในการดำเนินการด้วยความซื่อสัตย์ ยุติธรรม ฉะนั้นรัฐบาลต้องแสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดที่ดำเนินการนั้นดำเนินการด้วยกระบวนการกฎหมายยุติธรรมต่างฝ่ายต่างมีคนคอยให้ข้อมูลให้ข่าวสารถ้าเราเชื่อในหลักธรรมคำสอนของศาสนาไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธหรือชาวไทยมุสลิมไม่มีศาสนาไหนสอนให้คนทำร้ายซึ่งกันและกันเมื่ออยู่บนพื้นฐานนี้ สันติสุขทางศาสนาก็จะเกิดขึ้น และเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะฉะนั้นรัฐทั้งคู่เห็นต่างจะต้องเคารพในความเป็นอยู่ที่ดีของกันและกัน ไม่ละลาน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันเราถึงจะอยู่กันได้”

นายวิจิตร กล่าวว่าในขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องดูแลพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ตนเองเชื่อว่าปัจจุบันสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เรามีนักปกครองผู้แทนรัฐบาลทั้งผู้ที่เป็นชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิมไม่มีฝ่ายไหนมากไปกว่ากว่ากัน และที่ผ่านมาเราก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี เราก็อยู่กันได้ด้วยดี เพียงแต่ว่าช่วงหลัง ๆ ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่ดูเปลี่ยนแปลงไปเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจก็อยากจะฝากไปถึงทุกฝ่าย

รายงาน : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย/สุทธิดา บุญมณี

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1052422150413153&set=a.534942252161148
ชมคลิป
https://www.facebook.com/watch/?v=716407934385443