วันศุกร์, พฤษภาคม 02, 2568

42 ปี อสัญกรรมปรีดี พนมยงค์ กับภารกิจแห่งยุคสมัย : ทำประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีพื้นที่ทุกภาคส่วน ทุกความคิดความเห็น และการกระทำทางการเมือง และจะไม่มีผู้ถูกเนรเทศอีกต่อไป รวมทั้งได้พา "ผู้ถูกเนรเทศ" กลับบ้าน (ถ้าเขาต้องการ)


Thanapol Eawsakul
10 minutes ago
·
42 ปี อสัญกรรมปรีดี พนมยงค์
กับภารกิจแห่งยุคสมัยพา "ผู้ถูกเนรเทศ" กลับบ้าน
........
เมื่อเวลา 11.45 น. ของวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 หรือเมื่อ 42 ปีที่แล้ว
ที่บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดี พนมยงค์ "ผู้ถูกเนรเทศ" ออกจากประเทศไทยตั้งแต่รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ถึงแก่อสัญกรรมด้วยอาการหัวใจวาย ขณะมีอายุ 83 ปี (2443-2526)
ซึ่งในอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันเกิด (เกิด 11 พฤษภาคม 2443)
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้น นายปรีดียังมีสุขภาพแข็งแรง ตามอายุขัย ยังอ่านและเขียนหนังสือ ฟังข่าวสารทางวิทยุ และทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้เอง รวมถึงการให้สัมภาษณ์ แสดงปาฐกถาต่าง ๆ ได้อย่างมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
ถ้านับจากปี 2490 ถึงปี 2526 รวมแล้ว 36 ปี ที่ปรีดี ได้พำนักอยู่ในต่างประเทศ โดยเวลาส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเวลาถึง 21 ปี (2492 -2513) และย้ายมาพำนักที่ฝรั่งเศส อีก 13 ปี (2513 -2526)
หรือถ้านับเอาเวลาที่ปรีดี ได้กลับมารับใช้บ้านเมืองตั้งแต่กลับมาจากศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ในปี 2469 มารับราชการที่กระทรวงยุติธรรม เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย มันสมองของคณะราษฎร และร่วมบริหารประเทศในยุคคณะราษฎร (2475-2490) จนถึงปี 2490
รวมระยะเวลาเพียง 21 ปีเท่านั้นที่ปรีดี ได้รับใช้บ้านเกิดเมืองนอน
(ลองเทียบกับคุณชวน หลีกภัยเป็นส.สสมัยแรกในปี 2512 จนปัจจุบัน 2568 รวมเวลาถึง 56 ปี ที่ทำงานการเมือง)
แต่ปรีดี ก็มีความผูกพันกับประเทศไทย เป็นอย่างมาก
วาณี พนมยงค์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากอสัญกรรมของปรีดี วา
"คุณพ่อพูดอยู่เสมอ อยากจะกลับมาตายในเมืองไทย และให้ความสนใจอย่างมากต่อภาพในแมกกาซีน ที่มีรูปและเรื่องเกี่ยวกับอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ”
( หมายถึงอนุสาร อสท. ฉบับเดือนเมษายน 2526 ที่เป็นฉบับว่าด้วยอยุธยา)
อย่างไรก็ตาม นายปรีดีเคยพูดกับคนในครอบครัวว่า
"หากมาตุภูมิบ้านเกิดไม่ต้องการตน ตนก็ยินดีจะให้มีการทำพิธีศพในกรุงปารีส"
หลังจากนั้น พูนศุข พนมยงค์และครอบครัว ได้แข้งข่าวผ่านหนังสือพิมพ์ ดังนี้
นับตั้งแต่นายปรีดี พนมยงค์ได้วายชนม์ ณ ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ได้มีพระคุณเจ้า ท่านที่เคารพนับถือและญาติมิตร ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ส่งโทรเลข โทรศัพท์ทางไกลและจดหมายไปแสดงความเสียใจ บางท่านก็ส่งพวงมาลาไปเคารพศพ ข้าพเจ้าและลูกๆ รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ขออภัยที่ไม่สามารถตอบขอบคุณเป็นรายบุคคลได้ จึงขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้
พูนศุข พนมยงค์ และบุตรธิดา
ชานกรุงปารีส
พฤษภาคม 2526
(2)
ขณะที่การเสียชีวิตของปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้นำทางการเมืองได้เป็นข่าวไปทั่วโลก สำนักข่าวต่างๆได้รายงานพร้อมเพียงกัน แต่ขณะเดียวกันในประเทศไทยโดยเฉพาะท่าทีของรัฐบาลซึ่งขณะนั้นเป็นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้แสดงท่าที ที่ชัดเจน ต่อการเสียชีวิตดังกล่าว รวมทั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะประมุขของประเทศก็ดูจะเย็นชา
จนกระทั่ง นายแคล้ว นรปติ เลขาธิการพรรคสังคมประชาธิปไตย ส.ส. ขอนแก่น ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมรณกรรมของนายปรีดีว่า
ตนได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในพิธีของรัฐบุรุษอาวุโสผู้นี้ ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงชีวิตของนายปรีดี ได้ประกอบคุณงามความดีไว้อย่างมาก เช่น ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แก้ไขสนธิสัญญาที่ไทยเสียเปรียบกับต่างชาติ เดยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา จนฝ่ายสัมพันธมิตรถือว่า ไทยไม่ใช่ผู้แพ้สงคราม
https://pridi.or.th/th/content/2022/05/1078
แต่ก็ไร้ผล สถานศึกษาเพียงแห่งเดียวที่มีพิธีไว้อาลัย ก็คือมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ที่ปรีดี พนมยงค์เคยเป็นผู้ประศาสน์การ
ขณะที่หน่วยงานราชการอื่นๆ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้ง ๆ ที่ปรีดี เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ถึงแม้ว่าปรีดี พนมยงค์ จะทำพิธีฌาปนกิจตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2526 แต่กว่าที่อัฐิของปรีดี จะได้กลับมาประเทศไทย ก็ต้องรอจนถึงเดือนพฤษภาคม 2529 หรืออีก 3 ปีหลักจากนั้น
แน่นอนว่ารวมทั้งอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็เพิ่งเกิดขึ้นหลังอสัญกรรมด้วยเช่นกัน
(3)
การเสียชีวิตของปรีดี พนมยงค์ในฐานะ"ผู้ถูกเนรเทศ"นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ จนถึงปัจจุบันผ่านมา 42 ปีหลังจากที่ปรีดีพนมยงค์ถึงแก่อสัญกรรม เราก็ยังมีผู้ถูกเนรเทศด้วยข้อหาทางการเมืองต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะภายหลังการรัฐประหาร 2557 และปารีสก็ได้เป็นที่พำนักของ"ผู้ถูกเนรเทศ"จำนวนมาก และก็มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อหลังการลุกขึ้นสู้ใหญ่ของเยาวชนในปี 2563 เมื่อเผชิญกับกระบวนการนิติสงคราม ที่มาใช้ปราบปรามประชาชน
บ้านอองโตนีที่พำนักสุดท้ายของปรีดี พนมยงค์ ที่มีการซื้อจากเจ้าของเดิม เพื่อบูรณะให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ คงจะได้เปิดในเร็วๆนี้
แต่ภารกิจนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการที่ต้องเอาผู้ถูกเนรเทศที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กลับสู่ประเทศไทย
ถึงแม้ว่าเราจะหวังว่าการกลับมาเป็นเถ้าอัฐิของปรีดี พนมยงค์ ในปี 2529
นั้นจะเป็นกรณ๊สุดท้าย แต่ก็ยังเกิดขึ้นกับวัฒน์ วรรลยางกูร ในปี 2565
(4)
การทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
มีพื้นที่ทุกภาคส่วน ทุกความคิดความเห็น และการกระทำทางการเมือง
และจะไม่มีผู้ถูกเนรเทศอีกต่อไป
รวมทั้งได้พา "ผู้ถูกเนรเทศ" กลับบ้าน (ถ้าเขาต้องการ)
นี่คือภารกิจแห่งยุคสมัย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=9974369725963110&set=a.188049254595255