วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 29, 2568

ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว โพสต์ขอแสดงความเห็นส่วนตัวต่อ "ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ...." ที่ครม.เสนอเข้ามาในสภาวันนี้ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากพ.ร.บ.ฉบับเดิมปีพ.ศ. 2561


Lookkate Chonthicha - ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว
10 hours ago
·
ดิฉันขอแสดงความเห็นส่วนตัวต่อ "ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ...." ที่ครม.เสนอเข้ามาในสภาวันนี้ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากพ.ร.บ.ฉบับเดิมปีพ.ศ. 2561 โดยสาระสำคัญคือการเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" มาเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" และโอนกิจการของสำนักพระราชวังในส่วนงานพระคลังข้างที่ ให้มาอยู่ภายใต้สำนักงานชื่อใหม่ดังกล่าว ด้วยความกังวลใจสองประการ คือ
ประการแรก ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากสังคม
ครม.อ้างว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ "มิได้มีผลกระทบต่อประชาชน" จึงไม่ต้องมีขั้นตอนการเปิดรับฟังความเห็นโดยทั่วไป ตามมาตรา 19 แห่งพ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ที่ระบุว่า หากเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ต้องตราขึ้นโดยจำเป็นเร่งด่วน หรือเป็นกฎหมายที่ไม่ได้ใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับประชาชน หรือไม่มีผลกระทบต่อประชาชน ก็ไม่ต้องเปิดรับฟังความเห็นโดยทั่วไป
คำถามของดิฉันก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทยนั้นมิได้มีสายสัมพันธ์ใด ๆ กระนั้นหรือ? จึงกล้ากล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับประชาชน หรือว่าร่างกฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนหรืออย่างไร
การให้เหตุผล “มิได้กระทบต่อประชาชน” เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะเป็นการดูแคลนสายสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนที่มีมาอย่างยาวนาน และแนบแน่น
สิ่งนี้อาจนำไปสู่การสร้างมาตรฐานผิด ๆ ว่า การออกกฎหมายใด ๆ ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้นไม่ต้องรับฟังความเห็นจากสังคมก็ได้ เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของประชาชน การกล่าวอ้างเพื่อเร่งรัดให้พิจารณาวันเดียว 3 วาระรวด การไม่เปิดรับฟังความเห็นโดยทั่วไปเช่นนี้ มีแต่จะก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจากสังคม
ทุกท่านคะ เราเคยมีบทเรียนมาแล้วในปีพ.ศ.2560 ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอแก้ไขบางมาตราในรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติปี 2559 ในหมวดพระมหากษัตริย์โดยอ้างว่า "เป็นเรื่องของพระองค์ท่าน ไม่เกี่ยวกับประชาชน" และผลพวงของครั้งนั้น นำไปสู่การการแก้ไขและออกกฎหมายจำนวนหนึ่ง ที่เป็นการขยายพระราชอำนาจที่ขัดหลักการ “กษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” นั่นก็คือ พรก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนฯ ปีพ.ศ. 2562 และพรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ปีพ.ศ.2561 ซึ่งทำลายหลักการ "ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง" นั้น
ประการที่สอง การเปลี่ยนชื่อที่มีนัยยะซ่อนเร้น
การเปลี่ยนชื่อ ที่หลายคนกล่าวอ้างว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” แต่คำถามก็คือ มีเหตุผลกลใดหรือ ? ที่รัฐบาลจะต้องการเปลี่ยนชื่อ"สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ให้ย้อนยุคไปถึงสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยในปีพ.ศ. 2475
และเราต้องไม่ลืมว่า การเปลี่ยนชื่อนี้อาจส่งผลต่อความเข้าใจของสังคมเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เพราะคำมีความหมาย สามารถชี้นำความเข้าใจของสังคมได้
คำว่า "พระคลังข้างที่" เป็นคำเดิมที่ใช้กันในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งต่อมาได้มีการแยกส่วนระหว่างทรัพย์สินแผ่นดินกับส่วนพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และหลังการปฏิรูปราชการแผ่นดินปีพ.ศ. 2435 สมัยรัชกาลที่ 5 "กรมพระคลังข้างที่" ก็ได้รับสถานะเป็นกรมอิสระในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ทั้งหมดนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนไปแล้วหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปีพ.ศ. 2475 เมื่อมีการออก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพย์สินในกรมพระคลังข้างที่เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ภายใต้แนวคิดว่าพระมหากษัตริย์ทรง “ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง” หลังจากนั้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินส่วนนี้ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่มีครั้งใดที่จะมีผู้คิดอยากย้อนอดีตไปไกลและเด่นชัดยิ่งขึ้นถึงเพียงนี้
และด้วยเหตุผลทั้งสองประการข้างต้น ดิฉันจึงขอเรียนให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศทราบถึงจุดยืนของดิฉัน

https://www.facebook.com/Lookkate.ch/posts/722975956903085