วันพุธ, เมษายน 16, 2568

มีคนสรุปปาฐกถาเรื่อง Trump tariff โดยอดีตนายก ลีเซียนลุง พูดไว้เมื่อวานน่าฟังและน่าคิดตามมาก 🤔


Lee Hsien Loong on Trump's tariffs: "Biggest shock the global trading system has ever faced"
.....

manopsi
@manopsi

สรุปปาฐกถาเรื่อง Trump tariff โดยอดีตนายก ลีเซียนลุง พูดไว้เมื่อวานน่าฟังและคิดตามมาก 

1. Liberation day tariff ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายในมุมมองรัฐบาลสิงคโปร์ ทุกคนทราบว่า Trump ต้องการใช้ tariff มาตั้งแต่สมัยแรกและตอนหาเสียงสมัยสอง แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ tariff หว่านไปทุกประเทศทั่วโลกและเก็บในอัตราสูงมาก สิ่งนี้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อระบบการเงินทั่วโลกทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ แม้จะมีการเลื่อน reciprocal tariff ไป 90 วันและเว้นการเก็บกับสินค้า IT ก็ตาม แต่ basic tariff 10% rate ยังอยู่และใช้กับทุกประเทศ

2. การเลื่อนออกไป 90 วันไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เพราะทุกอย่างหยุดชะงักหมดใน 90 วันนี้ (limbo) เป้าหมายของ Trump ที่จะลดการขาดดุลการค้าและดึงภาคการผลิตกับเข้าประเทศเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เราต้องคาดว่าทีม Trump จะยังคงดำเนินการตามแนวทางนี้อยู่ดี แม้ว่าผลออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แทนที่จะหยุดหรือเปลี่ยนแผน เราคาดว่าเขาจะออกมาตรการที่หนักกว่าเดิม และส่งผลต่อประเทศต่าง ๆ มากขึ้น
3. แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนอยู่ในช่วง 90 วันนี้ เราควรคาดหวังได้อย่างแน่นอนว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้

4. US-China trade เกิดความเสียหายไปแล้ว ตัวเลข 145% หรือ 125% ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะกำแพงภาษีสูงมากจนการค้าระหว่าง 2 ประเทศนี้แทบจะหยุดและไม่สามารถทำต่อได้อีก ต่อให้ขึ้นไป 200-300% ก็ไม่มีผลอะไร

5. US-China relation เกิดจากมุมมองขัดแย้งกัน ด้าน US พยายามสกัดไม่ให้จีนขึ้นมาเป็นผู้นำ ในขณะที่จีนมองว่าตัวเองเจริญก้าวหน้ามาจนถึงตอนนี้ก็ควรจะมีที่ยืนอย่างเหมาะสม แม้ว่า tariff จะเล่นงานจีนเป็นหลัก ผลกระทบจากความขัดแย้งนี้ไม่จำกัดวงเฉพาะ 2 ประเทศ

6. แล้วเราควรทำยังไงดี บางคนบอกว่าอย่ากระต่ายตื่นตูม กังวลเกินเหตุ แต่ลีเซียนลุงย้ำกว่า เราจำเป็นต้องกังวล (need to be concerned) และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและส่งผลอะไรกับเรา เพราะในหนนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ มันแตกต่างไปจากเดิม ที่ผ่านมาเราผ่านวิกฤติมาได้หมดทั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติ subprime หรือแม้กระทั่ง COVID แต่สิ่งนึงที่เราต้องเข้าใจคือ ทุกวิกฤติที่เราผ่านมาได้ เรามี 2 ปัจจัยหลักที่เกื้อหนุนเรา ปัจจัยแรกคือ เราร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาวิกฤติเหล่านั้น และปัจจัยที่สองคือ เราเป็นส่วนนึงระบบการเงินและการค้าโลก ไม่ว่าประเทศใหญ่หรือเล็ก เราเล่นในสนามเดียวกัน กฎเดียวกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ (most favored nation: MFN system) เราเป็นประเทศเล็กก็จริง แต่มีประสิทธิภาพสูงในระบบการค้าและการเงินเสรีทำให้เราได้ประโยชน์ในประเด็น MFN นี้

7. ความแตกต่างในหนนี้คือ US ต้องการทำลาย MFN ไปเลย คือตั้ง tariff มาต่อรองรายประเทศ ใช้อำนาจต่อรองของการเป็นประเทศใหญ่มาบีบประเทศคู่ค้า แนวทางนี้ไม่มี win-win แต่เป็น win-lose สิ่งนี้ส่งผลกระทบใหญ่ต่อทั้งประเทศเราและต่อโลก ผลต่อโลกคือ แต่ละประเทศจะเจอกฎระเบียบแตกต่างกัน ประเทศเล็กจะเสียเปรียบมากเพราะไม่มีอำนาจต่อรองมากพอ ส่วนประเทศใหญ่จะมีอุปสรรคในการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก

8. Tariff จะส่งผลให้การค้าลดลง, ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น และอัตราการเติบโตของแต่ละประเทศลดลง นับตั้งแต่ปี 2000 US tariff rate เฉลี่ยราว 1% ตอนนี้ขึ้นไปอยู่ที่ 10% ซึ่งสูงสุดในรอบ 80 ปี และถ้า reciprocal tariff กลับมาหลัง 90 วัน จะทำให้ tariff สูงสุดย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อน WW1 (และหนนั้นก่อให้เกิด great depression)

9. Farmer และ semiconductor tariff มาแน่ แม้ตอนนี้ยังไม่มา ซึ่งส่งผลต่อสิงคโปร์มาก และ tariff retaliation เช่นที่จีนและแคนาดาออกมาแล้ว (EU หยุดรอช่วง 90 วันนี้) จะยิ่งทำให้ส่งผลเสียหนักขึ้น

10. Tariff ไม่ได้ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตน้อยลง แต่มัน disruptive เพราะ supply chain ของสินค้าทุกอย่างจะหยุดชะงัก ส่งผลต่อเป็นลูกโช่ โรงงานของคุณอาจจะต้องหยุดผลิตเพราะคุณเป็นส่วนนึงของห่วงโซ่การผลิตที่โดน tariff แผนธุรกิจพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แผนทุกอย่างจะหายไปในพริบตา และนำไปสู่ recession อย่างรวดเร็ว

11. ขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะไม่หายไปในระยะเวลาอันสั้น แต่จะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะเมื่อประเทศตั้ง tariff เพื่อปกป้องธุรกิจในประเทศแล้ว จะยกเลิกมันได้ยากมาก ๆ นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อ tariff พุ่งขึ้นไปแล้ว ในอดีตจะไม่ไปหายไปทันที อย่างมากแค่ทยอยลดลงเป็นขั้น ๆ ซึ่งอาศัยการเจรจาต่อรองเป็นรอบ ๆ หลายรอบ กินเวลาหลายสิบปี

บ้านเรายังไม่เห็นใครออกมาสื่อสารเรื่องนี้แบบจริงจัง ผมคิดว่าลองศึกษาจากเพื่อนบ้านก่อนก็ไม่เลวครับ ใครทำธุรกิจควรฟังมาก https://youtube.com/watch?v=D0PBM1

สรุปภาคต่อปาฐกถา ลีเซียนลุง เกี่ยวกับ Trump tariff เน้นผลกระทบกับสิงคโปร์และแผนรับมือครับ 

1. ผลกระทบที่เกิดทันทีคือ อัตราการเติบโต สิงคโปร์ลดตัวเลขการเติบโต (GDP growth) เหลือแค่ 0-2% จากเดิม 1-3% จากตัวเลขในมือตอนนี้ ลีเซียนลุงมองว่าสิงคโปร์ไม่น่าเข้าสู่ recession แต่ก็ไม่แน่ เพราะมีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ ไม่รู้ว่ากิจการในสิงคโปร์เกิด supply chain disruption มากแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีนโยบายใหม่อะไรออกมาอีก ไม่รู้ว่าประเทศอื่น ๆ จะตอบโต้ยังไง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นปัญหาเพราะอะไรก็ไม่แน่นอนไปหมด
2. ลีเซียนลุง บอกให้ทุกคนรู้ว่าจงคาดหวังว่าปีนี้ GDP growth จะลดลงแน่ และอาจจะเจอ recession ต่อไปในภายหน้า และที่แน่ ๆ ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าเราต้องเจอโลกที่เป็นมิตรน้อยลง (less friendly world) สิ่งสำคัญคือเราต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อนในโลกยุคใหม่นี้

3. เราคาดหวังว่า US-China tension จะเพิ่มขึ้น geopolitics ในภูมิภาคแถบนี้จะมีเสถียรภาพน้อยลง ทีมบริหารต้องทำงานหนักมากที่จะสร้างสมดุลในการเป็นพันธมิตรกับทั้งสองฝ่าย เลือกเดินตามเส้นทางที่ทำให้เรามุ่งไปข้างหน้าได้โดยไม่ติดกับดักปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้

4. ลีเซียนลุงเน้นอีกทีว่า หนนี้ไม่เหมือนเดิม และผลกระทบหนักหน่วง แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง เขามองเป็น 2 ระดับ คือระดับโลก และภายในประเทศ ในระดับโลก สิงคโปร์ยังคงสนับสนุนตลาดเสรี แม้ว่า US จะไม่เดินตามกติกาเดิมแล้วก็ตาม ประเทศอื่นยังคงยึดมั่นในตลาดเสรี สิงคโปร์ยังมี TPP (ที่ไม่มี US) เขายกตัวอย่างประสบการณ์เรื่อง TPP ที่ US ประกาศถอนตัว แต่ประเทศอื่น 11 ประเทศยัง commit เรื่องนี้ต่อแม้ว่าจะไม่มี US สิงคโปร์ยังผลักดันการทำ FTA กับประเทศหรือกลุ่มประเทศอื่น ๆ ทั้งระดับประเทศ หรือทั้งกลุ่ม ASEAN เช่นกับ EU, Canada, Mexico เราควรใช้โอกาสนี้สร้าง momentum ในการผลักดัน FTA ให้เกิดมากขึ้น, ในส่วน AFTA สิงคโปร์เน้นความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย

5. ในระดับภายในประเทศ เราต้องเตรียมพร้อมสนับสนุนคนของเราเองใน 3 ด้าน ได้แก่ทางปฏิบัติ, ทางจิตใจ, และทางการเมือง การสนับสนุนทางปฏิบัติ เราจะช่วยครอบครัวคนสิงคโปร์ผ่านกลไกต่าง ๆ ราว 4,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อครอบครัว, เราจะช่วยคนที่ตกงาน (ซึ่งเราคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นแน่ ๆ) ทั้งในช่วงตกงาน & การ reskill, เราตั้ง economic resilience taskforce เพื่อรับมือความไม่แน่นอน และ transform ธุรกิจที่มีความเสี่ยง ใช้โอกาสนี้เตรียมพร้อมเพื่อรับมือสร้างความสามารถการแข่งขันในระยะยาว

6. ด้านที่ 2 เราต้องเตรียมพร้อมทางจิตใจ เราต้องเตรียมใจรับมือโลกที่มีปัญหามากขึ้น เราต้องรู้ว่าพายุกำลังมา แต่เราอาจจะสบายใจได้บ้างว่าในขณะที่ทุก ๆ ประเทศเจอพายุใหญ่นี้ เราเตรียมพร้อมรับมือเรื่องนี้ได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ เพราะเรามีแผน มีประสบการณ์ มีทรัพยากร และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และลีเซียนลุงเน้นมากเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (unity) เพราะมันไม่ใช่แค่การใส่เสื้อทีมเหมือนกัน แต่คือการที่เราดูแลกันและกันให้แน่ใจว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจะไม่ถูกทอดทิ้ง เมื่อคุณช่วยตัวเองรัฐบาลจะช่วยคุณ เพราะ We are in this together เหตุที่ลีเซียนลุงเน้นเรื่องนี้มากเพราะ US เล่นเกม tariff จากการเกิดปัญหากลุ่ม blue collar ในภาคการผลิต โรงงานอุตสาหกรรมถูกทอดทิ้งและเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ โดยยกตัวอย่าง Rust Belt ซึ่งกลายเป็นฐานเสียงของ Trump จนนำมาซึ่งนโยบายนี้ ซึ่งเราจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในสังคมของเรา ไม่ว่าเรื่อง supply chain disruption, AI & robotic disruption แล้วทำให้คนของเราตกงาน เราช่วยคนของเราให้กลับมาได้ดี และในหนนี้เราจะทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า เพื่อไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นกับสิงคโปร์

7. ด้านการเมือง เราต้องมีรัฐบาลที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้สามารถต่อรองในระดับโลกได้ โดยลีเซียนลุงยกประสบการณ์การประชุมระดับนานาชาติ ที่แต่ละครั้งเจอผู้นำ/ตัวแทนประเทศเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ซึ่งหลายคนจะเจอคำถามจากภาคธุรกิจว่า อีก 5 ปีคุณจะยังอยู่ไหม หรืออีก 5 ปีนโยบายจะยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนอีกแล้ว (อันนี้มี bias อยู่ไม่มากก็น้อย) ถ้าเขาจะเข้ามาลงทุน คุณจะ commit แค่ไหน เพราะเขาเข้ามาลงทุนตั้งโรงงาน กว่าจะเดินเครื่องได้ 2-3 ปี กว่าจะคืนทุนก็ 10 ปี เขาต้องมั่นใจว่านโยบายจะยังคงมีเสถียรภาพ ประเทศต่าง ๆ เขาก็ต้องประเมินเสถียรภาพทางการเมืองของสิงคโปร์ ก่อนจะตัดสินใจลงทุนเช่นกัน เขาต้องการให้สิงคโปร์เป็น safe heaven สำหรับธุรกิจ

8. ช่วงหลัง ๆ ของ speech เป็นเรื่องการเมือง เน้นเรื่องพรรคฝ่ายค้าน เขาเน้นเรื่อง election outcome ที่ทำให้รัฐบาลแข็งแรงและมีประสิทธิภาพ .. to run a good team you need a good leader(อันนี้แน่นอนว่า bias เพราะลีเซียนลุงเป็นรัฐบาล และการเลือกตั้งหนก่อน PAP ได้คะแนนเสียงน้อยสุด)

ตามไปชมคลิปเต็มได้ที่นี่ครับ https://youtube.com/watch?v=hI1Fr5eg0Xg


https://x.com/manopsi/status/1912051668382044273
https://www.youtube.com/watch?v=D0PBM1o2qn8