
นโยบายเก็บ ‘ภาษีคนรวย’ ในสิงคโปร์กำลังได้ผล? คนรวยระส่ำคิดย้ายประเทศ
29 เม.ย. 2568
Ayosiri
Workpoint Today
หนึ่งในประเทศที่เหล่ามหาเศรษฐีนิยมย้ายไปใช้ชีวิตมากที่สุดคือ ‘สิงคโปร์’ เพราะมีนโยบายภาษีที่เอื้อต่อการสะสมความมั่งคั่ง ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของเศรษฐีทั่วโลก แต่ไม่นานมานี้ รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มขยับเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐีบางกลุ่มเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกรับภาระมากเกินไป
พูดง่ายๆ ว่า รายได้จากภาษีของพวกเขาถูกนำไปช่วยเหลือคนในประเทศมากกว่าที่รัฐบาลให้การสนับสนุนพวกเขาเอง
[ เศรษฐีจับตานโยบายใหม่รัฐบาลสิงคโปร์ อาจเก็บภาษีสูงเกินไป ]
ช่วงนี้เหล่าเศรษฐีกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะสิงคโปร์กำลังจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในไม่กี่วันนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องพยายามรักษาความน่าสนใจในฐานะศูนย์กลางความมั่งคั่งระดับโลก ขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องในประเทศที่ต้องการลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการปรับขึ้นภาษีสำหรับคนมั่งคั่ง
ความกังวลในหมู่เศรษฐีเริ่มปรากฏชัด บางคนเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ เช่น ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ดูไบหรืออาบูดาบี ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียก็เร่งโปรโมทนโยบายดึงดูดเศรษฐี ด้วยการส่งเสริมการตั้งกองทุนครอบครัว หรือที่เรียกกันว่า “Family Office”
สำหรับมาตรการภาษีใหม่ที่คนรวยต้องเจออัตราภาษีเงินได้สูงสุดขยับเป็น 24% ขึ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์หรู และรถยนต์หรู เพิ่มอัตราอากรแสตมป์ (stamp duty) สำหรับชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาฯ เป็น 60% จากข้อมูลของ Henley & Partners ที่ผ่านมามีมหาเศรษฐีทั่วโลกย้ายเข้ามาอยู่ในสิงคโปร์ กว่า 3,500 คน มี family office ก่อตั้งอยู่มากกว่า 2,000 แห่ง
กระทั่งช่วงปลายปี 2023 ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวกับนักลงทุนว่า
“หากคุณอยากมาตั้งรกรากที่นี่ ต้องเคารพกฎกติกาและวัฒนธรรมของเรา หากคิดว่าทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร คุณสามารถนำเงินของคุณไปที่อื่นได้” คำพูดนี้คือการส่งสัญญาณชัดว่าถ้า จะย้ายมาสิงคโปร์ก็ต้องรับนโยบายภาษีให้ได้
ขณะที่ปัจจุบันเสียงสะท้อนจากมหาเศรษฐีในประเทศบางกลุ่มเริ่มรู้สึกว่าถูกเหมารวมกับนักลงทุนต่างชาติ โดยพวกเขามองว่าตัวเองมีส่วนช่วยเหลือสังคมสิงคโปร์มากกว่ากลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
มีรายงานข่าวออกมาว่า สมาชิกในแวดวงครอบครัวมหาเศรษฐีหลายราย เล่าว่า พวกเขากำลังพิจารณาทางเลือกใหม่ เช่น ย้ายไปอยู่ดูไบหรืออาบูดาบี หากถูกเก็บภาษีมากเกินไป และบางคนก็กำลังพยายามพูดคุยกับคนใกล้ชิดรัฐบาลเพื่อหาความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางบริหารมหาเศรษฐีของสิงคโปร์
แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีการย้ายฐานการเงินครั้งใหญ่ แต่ผู้จัดการกองทุนครอบครัว (family office) หลายรายยอมรับว่าลูกค้ารู้สึกไม่พอใจที่ภาษีถูกปรับเพิ่มขึ้น
[ เพิ่มภาษี = ลดความเหลื่อมล้ำในประเทศได้ดี ]
แต่ก็ต้องยอมรับว่านโยบายเพิ่มภาษีของสิงคโปร์จะได้ผลจริงๆ เพราะรัฐบาลยืนยันว่า ระบบภาษีที่ “ก้าวหน้า” ของประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นรูปธรรม ทั้งการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์หรู การควบคุมราคาบ้านใหม่ให้อยู่ในระดับที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ รวมถึงการแจกคูปองและเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวรายได้กลางถึงต่ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่พุ่งสูง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่าความเหลื่อมล้ำในเรื่อง “ทรัพย์สิน” ยังคงขยายกว้าง โดยข้อมูลจากธนาคาร UBS ชี้ว่า ในช่วง 15 ปี (จนถึงปี 2023)
- ทรัพย์สินเฉลี่ยของชาวสิงคโปร์เพิ่มขึ้นถึง 116%
- ขณะที่ทรัพย์สินกึ่งกลาง (median) กลับลดลง 2%
ถึงอย่างนั้นก็มีสัญญาณบวกให้เห็นบ้าง เช่น รายได้เฉลี่ยของคนสิงคโปร์เพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำในแง่ “รายได้” (เฉพาะเงินเดือน) ก็อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี แต่ทว่าในชีวิตจริง คนสิงคโปร์จำนวนมากยังรู้สึกถึงแรงกดดันอยู่ดี เพราะเมื่อขับรถไปแถวย่าน Orchard ก็มีแต่รถสปอร์ตวิ่งเต็มไปหมด ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง “ควรมีมากกว่านี้”
ด้าน ‘David Black’ ซีอีโอ Blackbox Research ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า “แม้คนสิงคโปร์วันนี้จะรวยกว่ารุ่นพ่อแม่ แต่ความคาดหวังก็สูงขึ้นมากเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ค่าครองชีพในสิงคโปร์ก็ยังคงสูงลิ่ว แม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่สิงคโปร์ก็ยังติดอันดับเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกอยู่ดี เช่น รถ Toyota Corolla มีราคาทะลุ 200,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ราคาบ้านเอกชนพุ่งขึ้นเกือบ 30% ภายในระยะเวลาแค่ 4 ปี และแฟลต HDB (ที่อยู่อาศัยการเคหะสิงคโปร์) บางแห่งก็ขายต่อได้ในราคากว่า 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (25 ล้านบาท)
ในแง่นโยบาย นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ เลือกที่จะเลี่ยงขึ้นภาษีเพิ่มเติมในช่วงการบริหารประเทศช่วงต้นๆ ของตัวเอง แต่หันไปเน้นช่วยเหลือครัวเรือนรายได้กลางถึงต่ำแทน เช่น การแจกคูปองซูเปอร์มาร์เก็ต การคืนเงินค่าไฟ และการลดภาษีเงินได้สำหรับครอบครัวใหญ่ๆ เพื่อพยุงกำลังซื้อในช่วงค่าครองชีพสูง ขณะเดียวกันผู้นำประเทศก็พยายามสร้างภาพลักษณ์ติดดินให้คนสิงคโปร์เห็น
ทว่าการเปลี่ยนแนวคิดของคนในประเทศที่ยังยึดติดว่าความมั่งคั่งต้องมาพร้อมกับมาตรฐานความสำเร็จแบบ “5C” ที่ว่าต้องมี รถ คอนโด บัตรเครดิตวงเงินสูง สมาชิกคันทรีคลับ และเงินสด (Car, Condominium, Credit Card, Country Club, Cash) ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
สรุปว่า วันนี้ ความเหลื่อมล้ำในสิงคโปร์ไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้หรือทรัพย์สินอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “ความรู้สึกกลัวตกขบวน” (fear of missing out) มากกว่าความลำบากจริงๆ
ส่วนมหาเศรษฐีที่อยู่ในประเทศก็ยังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะประเทศไหนก็มีแต่ ‘วิกฤตเศรษฐี’ อยากจะย้ายออกจากประเทศกันเสียทั้งนั้น
ที่มา
https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-24/singapore-billionaires-unsettled-by-tax-rises-to-narrow-wealth-gap?srnd=homepage-asia&sref=LQZclhPm
https://workpointtoday.com/sin760595-2/