วันพุธ, มีนาคม 05, 2568

การรัฐประหารไม่ใช่การปฏิวัติ ไม่ใช่การปฏิรูปเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงประเทศให้ดีขึ้น แค่เป็น "การช่วงชิงอำนาจ" โดยใช้กำลังทหารและอาวุธ ตัวอย่างที่เห็นชัด หลังยุครัฐประหาร 2557 องค์กรตำรวจเสื่อมลงทุกทาง


ไม่ใช่ขาลง แต่ ‘หลงทาง’

เหยี่ยวถลาลม
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม 2568

ไม่ใช่ขาลง
แต่ ‘หลงทาง’

ล่าสุด พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ออกอาการเรออีกครั้งด้วยการลุกขึ้นมาโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า “ตำรวจไทยต้องปฏิรูป” ภายหลังจากที่ไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนา The Rule of Law Reform in Thailand Now and Never ซึ่งจัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ

พลันมีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้น “เอาอีกแล้วหรือ”

เกือบ 20 ปีแล้วนะที่ได้ยินว่าจะ “ปฏิรูปตำรวจ” กัน

ตั้งแต่หลังรัฐประหารในปี 2549 โน่น รัฐบาลใหม่มีท่าทีส่งคนออกมาด่าตำรวจว่าฟอนเฟะ วิ่งเต้นซื้อขายเก้าอี้กันตั้งแต่หัวแถวถึงท้ายแถว เรียกรับผลประโยชน์ทุกช่องทาง มีรายได้นอกระบบอย่างเป็นระบบ ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ประชาชนไม่ใช่เป้าหมาย หัวใจคือพิทักษ์รับใช้นาย

หัวข้อปฏิรูปตำรวจถูกจัดสัมมนาขึ้น มีการถกแถลงอภิปราย ตีแผ่พฤติกรรมทั้งตัวบุคคลและองค์กรตำรวจ จนเรียกได้ว่า น้ำลายท่วมทุกเวที จากนั้นรัฐบาลก็จัดให้มีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ทำการศึกษาค้นคว้า รวบรวมเอกสารหลักฐานงานวิจัย ทำท่าจะลงมือ

แต่สุดท้ายแล้วเมื่อปี 2550 ได้ข้อสรุปว่า ต้องปฏิรูปตำรวจ 10 หัวข้อ

เช่น อย่ารวมศูนย์อำนาจ ให้กระจายอำนาจบริหารออกไป แล้วส่งเสริมให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการของตำรวจตั้งแต่ระดับโรงพัก สร้างกลไกตรวจการทำงานของตำรวจ พัฒนางานสอบสวนตำรวจ ถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่งานตำรวจออกไป ปรับปรุงสถานีตำรวจ พัฒนากระบวนการสรรหา การผลิตและพัฒนาบุคลากร ปรับปรุงเงินเดือน ค่าตอบแทนและสวัสดิการตำรวจ ส่งเสริมความก้าวหน้าให้ตำรวจชั้นประทวน และจัดตั้งหน่วยงานพัฒนากระบวนการยุติธรรม

ล่วงผ่านจากวันนั้นมาทั้งคนที่เคยฝัน คนที่เป็นเจ้าความคิด นักพูดนักถกอภิปราย รวมไปถึงคนที่เคลื่อนไหวผลักดันจะ “ปฏิรูปตำรวจ” หลายคนต่างก็ล่วงลับไปแล้วตามอายุขัย ในขณะที่แนวคิดปฏิรูป เอกสารการศึกษา ผลการอภิปราย เอกสารการสัมมนา รวมทั้งข้อแก้ตัวเดิมๆ เช่นว่า ค่าตอบแทนต่ำ เงินเดือนน้อย กำลังตำรวจไม่เพียงพอก็ยังคงมีอยู่ครบ

ที่เข้าใจไม่ได้จริงๆ ก็คือว่า ทั้งๆ ที่พูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ต่อเนื่องกันมาเกือบ 20 ปี ทำไมการปฏิรูปตำรวจของไทยจึงเกิดขึ้นไม่ได้สักที

ไม่มีองค์กรอาชญากรรมใดต่อต้าน

ไม่มีมาเฟียหรือผู้ทรงอิทธิพลคนไหนเลยที่จะขัดขวาง “การเปลี่ยนแปลง”

กระทั่งเกิดปรากฏการณ์ “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ”!

คนหันไปพึ่ง “อินฟลูเอนเซอร์”

ส่วนตำรวจยังคงเดินไปตามรอยเดิมๆ “นาย” มีเพียงคุณลักษณะ “ทะเยอทะยาน” อยากเป็นใหญ่ แต่ไร้ประสิทธิภาพ “รับ” ด้วยความมั่นคงและตรงต่อเวลา แต่ไม่เข้าใจคำว่า “ให้”

อุดมคติตำรวจที่ปลูกฝังกันมา ความอดทน อดกลั้น ความเสียสละ มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม เหือดหายไปตอนไหนไม่มีใครสนใจที่จะทราบ

มโนภาพและเป้าหมายตำรวจ ถูกกลับหัวกลับหาง ผิดเพี้ยน จากที่ต้องรักษากฎหมาย ปกป้องคนดี ดูแลสังคมให้สงบสุข ปลอดภัย ผดุงความยุติธรรมพร้อมกับกำจัดคนไม่ดี หรือคนชั่วคนโกงไม่ให้เป็นอันตรายต่อสังคม กลับกลายเป็นใช้เครื่องแบบตำรวจ “แสวงหาความร่ำรวย” ใช้กฎหมายเป็นช่องทางรับผลประโยชน์จากทุรชน

สับสนกันตั้งแต่ตำรวจยศสูงยันยศต่ำ แยกแยะไม่ออกระหว่างเจตจำนงของกฎหมายกับความต้องการเฉพาะตัวของผู้มีอำนาจทางการเมือง

พร้อมที่จะ “คดงอ” ถ้าหากได้มาซึ่ง “เก้าอี้” ดังเห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่า “ตัวแบบ” ที่ตำรวจมี ไม่ใช่ “ตัวแบบตำรวจ”

หากแต่เป็นสายพันธุ์อาชญากร เกื้อกูลแก่องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจนสามารถกล่าวได้ว่า “กู่ไม่กลับ” ถ้าไม่ปฏิรูปกันอย่างจริงจัง

ถ้าเอาแต่ “แก้ตัว” ไม่เร่งลงมือ “แก้ไข” ก็ต้องนั่งพูดเรื่องเดิมๆ ให้เป็น “ไฟไหม้ฟาง” กันต่อไป

เชื่อหรือไม่ว่า หลังรัฐประหารอีกครั้งของกองทัพในเดือนพฤษภาคม ปี 2557 นั้น คณะทหารที่สืบทอดอำนาจนั่งเป็นใหญ่กันยาวๆ ก็ประกาศจะ “ปฏิรูปตำรวจ” อีก

แต่สุดท้ายไม่ทำ!

ทั้งๆ ที่รองนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะคุมกิจการตำรวจ และต่อมานายกรัฐมนตรีก็มาคุมตำรวจเสียเองก็ไม่ได้ทำอะไรในแนวทางที่จะให้ดีขึ้น

ของจริงคือ ระบบภายในตำรวจเลวลงอย่างรุนแรง!

หลังยุครัฐประหาร 2557 องค์กรตำรวจเสื่อมลงทุกทาง ตั้งแต่การประพฤติตัวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ การบริหารจัดการองค์กร การบังคับบัญชา ระเบียบวินัย การทำหน้าที่ในสายงานต่างๆ จนกระทั่งในด้านการแสวงหาผลประโยชน์ของแต่ละหน่วยก็อึกทึกคึกคัก

“ระบบความคิด” ย่อมเป็นรากฐานนำไปสู่แนวประพฤติปฏิบัติ

“อำนาจ” ใดที่ได้มาโดยมิชอบย่อมเป็น “ต้นธาร” ของความฉ้อฉล

รัฐประหารไม่ใช่การปฏิวัติ ไม่ใช่การปฏิรูปเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงประเทศให้ดีขึ้น แค่เป็น “การช่วงชิงอำนาจ” โดยใช้กำลังทหารและอาวุธ

เป็น “การล้มล้าง” การปกครอง กฎหมายบัญญัติว่าผิดฉกรรจ์ และมีโทษร้ายแรงถึงขั้น “จำคุกตลอดชีวิต” หรือ “ประหารชีวิต”!

แต่ในสังคมที่บิดเบี้ยวปั้นน้ำเป็นตัว โหมกระพือให้ “นักรัฐประหาร” ผู้กระทำความผิดพองตัว อวดเบ่งว่าเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้สถานการณ์ (ที่สร้างขึ้น)

เกียรติภูมิกับความหยิ่งในเกียรติซึ่งเกิดจาก “ความซื่อตรง” ในการทำหน้าที่จึงไม่ใช่ระบบความคิดของข้าราชการประเภท “มีสี” ในบ้านเรา ซึ่งชอบหลงเข้าใจว่าการมี “ตำแหน่ง” หรือ “ยศ” จะทำให้ทุกสิ่งที่ปรารถนาหรือทะยานอยากตามมา

ระบบตำรวจที่ไม่ดีก็มาจากระบบการเมืองที่ลุแก่อำนาจ ซึ่งถือว่าประชาชนอยู่นอกสายตา

ตำรวจประเภทหนึ่งซึ่งมีมากขึ้นทุกวันจึงไม่เห็นความสำคัญ และไม่ได้รู้สึกมีเกียรติจาก “การทำหน้าที่” ในวิชาชีพตำรวจ

มีกฎหมายไว้ในมือก็เพื่อบังคับใช้หาผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมาย ขวนขวายแต่จะเป็นใหญ่และรวย พร้อมที่จะ “ทิ้ง” จิตวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้วประพฤติตัวเป็นแหล่งเพาะเชื้ออาชญากรรม

ระบบตำรวจล่วงมาถึงขั้นนี้ ถ้ายังไม่มีการปฏิรูปองค์กร จะมีจุดจบอย่างไร!?!!!

https://www.matichonweekly.com/column/article_830342