วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 24, 2568

การขอโทษ เพื่อปลดบาดแผล ทางประวัติศาสตร์ บทเรียนที่แตกต่าง ระหว่างเยอรมัน กับญี่ปุ่น


เขียนทุกวัน
7 hours ago
·
การขอโทษ เพื่อปลดบาดแผล ทางประวัติศาสตร์ บทเรียนที่แตกต่าง ระหว่างเยอรมัน กับญี่ปุ่น
.
เยอรมัน กับญี่ปุ่น เป็นชาติที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองได้ก่อเหตุการณ์รุนแรงต่อมวลมนุษยชาติแบบโหดเหี้ยมถึงที่สุด เยอรมันภายใต้การนำของนาซี มีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ บุกรุกยึดครองชาติอื่นในยุโรป เริ่มจากโปแลนด์ ลุกลามไปถึงฝรั่งเศส ทิ้งระเบิดอังกฤษอย่างต่อเนื่อง และรุนแรง ไม่สนเป้าหมาย ขอแค่ลงในที่ชุมชน ก็สะใจแล้ว
.
ทางรัสเซีย พวกเขาบุกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประชาชนในสหภาพโซเวียต ไม่ชอบระบบเผด็จการของโจเซฟ สตาลิน เลย มันเป็นคอมมิวนิสต์ในนาม แต่ไม่ใช่สังคมในฝันของจริง สตาลินปกครองโซเวียตด้วยความโหดเหี้ยม มีการดักฟัง หนุนให้คนในสังคมไม่ไว้ใจและหักหลังกันเอง
.
ยังไม่นับระบบเศรษฐกิจที่บริหารประเทศกันจนพินาศ มีคนอดตายอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ยูเครน ซึ่งถูกโซเวียตยึดครอง ข้าวที่ปลูกได้ โดนยึดเข้าส่วนกลางเลี้ยงคนในเมืองหลวงมอสโกว์ก่อน ทำให้มีคนเสียชีวิตจากภัยพิบัติที่ก่อเหตุโดยรัฐจำนวนหลายล้าน บางรายถึงขั้นต้องกินศพมนุษย์ ต้มหญ้ากินประทังหิว
.
โซเวียตในเวลานั้น เป็นประเทศที่มีเงินเฟ้อสูงมหาศาล ยิ่งกว่าเยอรมันในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเสียอีก เพียงแค่ไม่มีการเก็บข้อมูลเงินเฟ้อ เราจึงมักจะจำว่าเยอรมันโดนเงินเฟ้อ ชนิดต้องเอาธนบัตรใส่รถ เพื่อซื้อขนมปังก้อนหนึ่ง หรือว่าตอนสั่งกาแฟ ราคาอีกอย่าง พอกินเสร็จจะจ่ายเงิน ปรากฏว่าเงินพุ่งมากกว่าเดิม แม้ในเยอรมันช่วงก่อนนาซียึดอำนาจ เลวร้ายแล้ว แต่ในโซเวียตยิ่งเลวร้าย แบบไม่มีคนสนใจด้วย
.
ทั้งหมดนี้ ทำให้คนโซเวียตเกลียดสตาลินมาก เมื่อเยอรมันบุกมา พวกเขาคิดว่าจะมาปลดปล่อย แต่นาซีสั่งการให้ฆ่าข่มขืนทารุณคนโซเวียต เพราะมันเป็นคอมมิวนิสต์ จนทำให้ประชาชนรัสเซียต้องยอมรบให้สตาลิน เพราะเกลียดเยอรมันมากกว่า
.
นาซีเยอรมันก่อกรรมทำเข็ญแก่ชาวยิว จนเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบที่เลวร้ายสุดในโลก ไม่นับเป็นผู้เห็นต่าง คนพิการ ประชาชน LGBTQ ก็ถูกฆ่า มีการนำคนไปทดลองอย่างเลวร้าย เพื่อสนองการแพทย์
.
นี่คือสิ่งที่เยอรมันทำในสงครามโลกครั้งที่ 2
.
ส่วนญี่ปุ่น พวกเขาบุกจีน และทำลาย ทำร้าย ฆ่าอย่างโหดสะพรึง มีหลักฐานถึงทหาร 2 นาย ระดับสัญญาบัตรแข่งกันเอง เอาดาบซามูไรท้าทายว่าจะตัดหัวคนจีนในหนึ่งวันได้เท่าไร
.
ทหารญี่ปุ่นในสงคราม ถือว่าต้องรบจนตัวตาย ใครยอมแพ้ย่อมไร้เกียรติ นั่นทำให้ทหารฝรั่งผิวขาวที่ยอมแพ้ ถูกมองอย่างหมิ่นด้อยค่า มีการทารุณ ซ้อม บังคับให้ทำงานเชลยศึก เพื่อสร้างทางรถไฟ จนเป็นโศกนาฏกรรมถึงทุกวันนี้ ที่กาญจนบุรี เช่นเดียวกับเยอรมัน ญี่ปุ่นมีการเอาคนไปทดลองเป็นๆ เพื่อดูเรื่องการแพทย์ ซึ่งโหดเหี้ยมอย่างมาก
.
2 ชาติ แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้เกี่ยวข้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
.
เยอรมันกับญี่ปุ่นเคยเหมือนกันในอดีต แต่พวกเขาแตกต่างกัน
.
ทุกวันนี้ญี่ปุ่นถูกจีน เกาหลี เรียกร้องเรื่องการขอโทษในสิ่งที่ทำไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 เสมอ ขณะที่เยอรมันไม่ถูกเรียกร้องแบบนั้นแล้ว
.
เพราะอะไร
.
คำขอโทษ ที่ขอโทษอย่างจริงจัง
.
ทุกอย่างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1969 เมื่อพรรคฝ่ายซ้ายอย่างสังคมนิยมประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งในเยอรมัน ทำให้วิลลี บรันท์ (Willy Brandt) ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในอดีตนั้น ตัวเขาเคยลี้ภัยในยุคนาซีครองเมืองมาก่อน
.
เมื่อชนะเลือกตั้ง วิลลีได้ริเริ่มปฏิรูปสังคมในทันที เขาส่งเสริมสิทธิสตรี ลดสังคมอำนาจนิยมประเภทเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ยอมรับการมีอยู่ของเยอรมนีตะวันออก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลหลังสงครามโลกไม่เคยทำ โดยรัฐบาลใหม่ได้ลงนามยอมรับดินแดนที่เสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถาปนาความสัมพันธ์กับประเทศที่นาซีเคยก่อสงคราม
.
แต่ผลงานที่ทำให้เยอรมนีเปลี่ยนตัวเองอย่างมหาศาล นั่นก็คือในปี ค.ศ.1970 วิลลี บรันท์ เดินทางไปโปแลนด์และได้ไปเยี่ยมวอร์ซอเกตโต อันเป็นสถานที่ซึ่งเกิดการลุกฮือต่อต้านการยึดครองนาซีของคนโปแลนด์ ที่หน้าสถานที่ประวัติศาสตร์นี้เอง ผู้นำเยอรมนีตะวันตกได้คุกเข่าลงและยอมรับการกระทำอาชญากรรมของนาซีทั้งหมด
.
ภาพถ่ายนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ตีพิมพ์เป็นหน้าปกของนิตยสารข่าวชื่อดังอย่าง แดร์ ชปิเกิล
.
คำขอโทษจากใจจริงของบรันท์ ถือเป็นการขออภัยต่อเหยื่อจากสงครามโลกที่นาซีก่อกรรมทำเข็ญ บาดแผลในใจได้ถูกชะล้าง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เยอรมนีได้เผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ตัวเอง พวกเขาเพิ่มเรื่องราวในช่วงนาซีครองเมืองให้แก่คนรุ่นหลังได้รับรู้ ทำให้คนเยอรมันได้เข้าใจประวัติศาสตร์อันเลวร้าย
.
ส่วนญี่ปุ่น พวกเขาพยายามเลี่ยงคำขอโทษอย่างแท้จริง คำขอโทษที่เป็นการขอโทษ ไม่เคยหลุดจากปากผู้นำหรือผู้เกี่ยวข้องในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นถามว่าทำไมเยอรมันจบ แล้วญี่ปุ่นไม่จบ ยังมีความพยายามรื้อฟื้นการขอโทษจากผลกรรมที่ทำในอดีตเรื่อยมา
.
คำตอบมันก็ง่ายๆ ดูจากประวัติศาสตร์ ค้นพบจากวันวาน ชี้ให้เห็นชัดในปัจจุบัน
.
คำขอโทษ ที่เป็นคำขอโทษอย่างแท้จริง ไม่เคยหลุดจากปากผู้ก่อเหตุเลย
.
อดีตนั้นประกอบด้วยประวัติศาสตร์ หลายครั้งน่าภูมิใจ หลายคราเป็นเรื่องของบาดแผล หากอยากปลดบ่วงแห่งความเจ็บปวด ประวัติศาสตร์บาดแผลจะยุติและเริ่มทุเลาได้ ก็ต้องเริ่มจากการแก้ไขตรวจสอบและเสาะหาความจริง เช่นเดียวกัน เมื่อปัจจุบันขอโทษ ก็เหมือนการปลดปล่อยกรงขังแห่งอดีตให้เป็นอิสระ
.
แต่หาก ไม่มีคำขอโทษที่เป็นการขอโทษ-การรื้อฟื้นหาตะเข็บ ก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง
.
บทเรียนของเยอรมันกับญี่ปุ่น ประจักษ์แน่ชัด อดีตจบสิ้น อดีตเป็นบทเรียน ต่อฝ่ายหนึ่ง แต่กับอีกฟาก อดีตกลับเป็นบาดแผล เป็นความเจ็บปวด
.
จะเลือกทางไหน ควรคิดพิจารณาให้ดี
///
#เขียนทุกวัน #ขอโทษ #เยอรมัน #ญี่ปุ่น #สงครามโลกครั้งที่2

https://www.facebook.com/photo?fbid=122110436462749740&set=a.122093612024749740