
https://www.matichonweekly.com/column/article_828992
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2568
หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ “รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรายการ “ประชาธิปไตยสองสี” โดย “ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี
“ผมมองตรงกันกับอาจารย์เกษียร เตชะพีระ แกใช้คำว่า ‘ฉันทามติ 112’ ตอนนี้อีลีตมีฉันทามติร่วมกันอย่างหนึ่ง เป็นฉันทามติขั้นต่ำมาก ก็คือว่าไม่ให้ไอ้สิ่งแปลกปลอมทางการเมืองเข้าสู่อำนาจได้ คือมีศัตรูร่วม
“แต่ถามว่าที่มาจับมือกัน จะทำอะไร? จะเปลี่ยนสังคมไปในทิศทางไหน? มีนโยบายร่วมกันไหม? มีวิชั่นร่วมกันไหม? ก็ไม่มี มันก็เลยไปแบบงงๆ ไปแบบตะกุกตะกัก มันติดขัดไปหมด เพราะไม่มีอะไรร่วมกัน
“ถามว่ารัฐบาลเอง เพื่อไทยก็มีปัญหาทั้งกับรวมไทยสร้างชาติกับภูมิใจไทย เพราะจริงๆ ในแง่แนวทางทางการเมือง มันคนละทาง นโยบายเศรษฐกิจก็ไม่ได้เห็นตรงกัน ไม่ต้องพูดถึงความบาดหมางในอดีต ยังไงมันก็มีอยู่ มันก็ทำงานร่วมกันลำบาก
“แต่อยู่ด้วยกันได้ รวมถึงองคาพยพอื่นๆ ในชนชั้นนำก็ยังเกาะกันอยู่ได้ เพราะไม่เอาก้าวไกล ไม่เอาความเปลี่ยนแปลง ไม่เอาการรื้อโครงสร้าง อาจารย์เกษียรเรียกอันนี้ว่า ‘ฉันทามติ 112’
“ผมเรียกว่ามันเป็นสภาวะ ‘หุ้นส่วนทางอำนาจใหม่’ ที่คนที่เคยเป็นศัตรูกันมาจับมือกันเป็นหุ้นส่วนทางอำนาจ เพื่อรักษาระเบียบอำนาจเดิม คือผลประโยชน์ของชนชั้นนำต้องไม่ถูกแตะต้อง
“ก็คือการผูกขาดทางเศรษฐกิจในมือกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม ระบอบที่มันไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยมาก เสียงของประชาชนไม่ต้องมามีความหมายมาก ให้อีลีตเขาตกลงกันเอง แล้วก็ห้ามปฏิรูปกองทัพ ห้ามปฏิรูป 112 ปฏิรูปอะไรที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ คือรักษาระเบียบโครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจแบบเดิมเอาไว้ แค่นี้เอง
“ทำอะไรด้วยกันไม่รู้ ว่าไปทีละเรื่อง แล้วแต่กระแส แล้วแต่สถานการณ์ นอกจากว่าไปทีละเรื่องแล้ว มันยังมีความไม่ไว้วางใจกันอยู่สูง มันเลยเป็น ‘ฉันทามติที่เปราะบางมาก’ จะล้มเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันวางอยู่บนการมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น ขั้นต่ำ แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือนโยบายอะไรร่วมกันเลย
“ถ้ามองโลกในแง่ร้าย ผมวิเคราะห์มาในทางนี้ ก็สงสัยไม่รอดแหงๆ 44 ส.ส. (พรรคก้าวไกล/ประชาชน) ที่คดีอยู่ใน ป.ป.ช. เพราะถ้าเกมของเขา ยุทธศาสตร์ใหญ่ของชนชั้นนำ คือขจัดไอ้สิ่งแปลกปลอมนี้ออกไปจากการเมืองไทย ผมว่าเราก็ต้องเตรียมมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน มันก็จะต้องนำไปสู่การตัดสิทธิ์ 44 ส.ส.
“ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายเลย ไม่ใช่เรื่องอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ”
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2568
หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ “รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรายการ “ประชาธิปไตยสองสี” โดย “ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี
“ผมมองตรงกันกับอาจารย์เกษียร เตชะพีระ แกใช้คำว่า ‘ฉันทามติ 112’ ตอนนี้อีลีตมีฉันทามติร่วมกันอย่างหนึ่ง เป็นฉันทามติขั้นต่ำมาก ก็คือว่าไม่ให้ไอ้สิ่งแปลกปลอมทางการเมืองเข้าสู่อำนาจได้ คือมีศัตรูร่วม
“แต่ถามว่าที่มาจับมือกัน จะทำอะไร? จะเปลี่ยนสังคมไปในทิศทางไหน? มีนโยบายร่วมกันไหม? มีวิชั่นร่วมกันไหม? ก็ไม่มี มันก็เลยไปแบบงงๆ ไปแบบตะกุกตะกัก มันติดขัดไปหมด เพราะไม่มีอะไรร่วมกัน
“ถามว่ารัฐบาลเอง เพื่อไทยก็มีปัญหาทั้งกับรวมไทยสร้างชาติกับภูมิใจไทย เพราะจริงๆ ในแง่แนวทางทางการเมือง มันคนละทาง นโยบายเศรษฐกิจก็ไม่ได้เห็นตรงกัน ไม่ต้องพูดถึงความบาดหมางในอดีต ยังไงมันก็มีอยู่ มันก็ทำงานร่วมกันลำบาก
“แต่อยู่ด้วยกันได้ รวมถึงองคาพยพอื่นๆ ในชนชั้นนำก็ยังเกาะกันอยู่ได้ เพราะไม่เอาก้าวไกล ไม่เอาความเปลี่ยนแปลง ไม่เอาการรื้อโครงสร้าง อาจารย์เกษียรเรียกอันนี้ว่า ‘ฉันทามติ 112’
“ผมเรียกว่ามันเป็นสภาวะ ‘หุ้นส่วนทางอำนาจใหม่’ ที่คนที่เคยเป็นศัตรูกันมาจับมือกันเป็นหุ้นส่วนทางอำนาจ เพื่อรักษาระเบียบอำนาจเดิม คือผลประโยชน์ของชนชั้นนำต้องไม่ถูกแตะต้อง
“ก็คือการผูกขาดทางเศรษฐกิจในมือกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม ระบอบที่มันไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยมาก เสียงของประชาชนไม่ต้องมามีความหมายมาก ให้อีลีตเขาตกลงกันเอง แล้วก็ห้ามปฏิรูปกองทัพ ห้ามปฏิรูป 112 ปฏิรูปอะไรที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ คือรักษาระเบียบโครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจแบบเดิมเอาไว้ แค่นี้เอง
“ทำอะไรด้วยกันไม่รู้ ว่าไปทีละเรื่อง แล้วแต่กระแส แล้วแต่สถานการณ์ นอกจากว่าไปทีละเรื่องแล้ว มันยังมีความไม่ไว้วางใจกันอยู่สูง มันเลยเป็น ‘ฉันทามติที่เปราะบางมาก’ จะล้มเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันวางอยู่บนการมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น ขั้นต่ำ แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือนโยบายอะไรร่วมกันเลย
“ถ้ามองโลกในแง่ร้าย ผมวิเคราะห์มาในทางนี้ ก็สงสัยไม่รอดแหงๆ 44 ส.ส. (พรรคก้าวไกล/ประชาชน) ที่คดีอยู่ใน ป.ป.ช. เพราะถ้าเกมของเขา ยุทธศาสตร์ใหญ่ของชนชั้นนำ คือขจัดไอ้สิ่งแปลกปลอมนี้ออกไปจากการเมืองไทย ผมว่าเราก็ต้องเตรียมมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน มันก็จะต้องนำไปสู่การตัดสิทธิ์ 44 ส.ส.
“ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายเลย ไม่ใช่เรื่องอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ”
https://www.youtube.com/watch?v=ziMG5uqIVnU
“ผมคิดว่า ตราบใดที่หุ้นส่วนทางอำนาจนี้ยังมีฉันทมติตรงนี้อยู่ มันก็จะไม่มีอะไรที่มาเป็นอุบัติเหตุใหญ่ถึงขั้นล้มรัฐบาล จะไม่มีการรัฐประหาร สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เขาอาจจะเปลี่ยนแค่ตัวนายกฯ เปลี่ยนรัฐมนตรี หรือสกัดไม่ให้ทำนโยบายบางอย่าง แต่มันจะไม่ได้ถึงขั้นที่มาเปลี่ยนดุลทางอำนาจมากเกินไป ถึงขั้นล้มรัฐบาลเลย อันนี้ไม่มี
“ฉะนั้น การเมืองจะนิ่งๆ ไปอย่างนี้ จนถึงปี 2570 ภายใต้ฉันทมตินี้ เป็นการนิ่งที่อาจจะไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก ข้อดีคือไม่มีความรุนแรงบนท้องถนน ไม่มีความขัดแย้งสูง ทุกอย่างถูกกดเอาไว้ กระทั่งคนที่ไม่พอใจสภาวะแบบนี้ มันก็ถูกทำให้หมดหวังว่าคุณเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก คุณไปรอเลือกตั้ง 2570 แล้วกัน
“(เลือกตั้ง 2570 คุณก็เปลี่ยนไม่ได้อีก เพราะพรรคประชาชนถูกตัดหัวหมด – ใบตองแห้ง) ตรงนี้มันจะเป็นอันตราย ถ้ามันไปทำลายความหวังมากเกินไป ถึงจุดหนึ่งมันก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ในทางการเมือง ไปทำอะไรบางอย่างที่มันเป็นชนวน เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่าอันไหนมันจะจุดติด จุดไม่ติด ก่อนหน้าที่จะมีการประท้วงครั้งใหญ่
“ถ้าคุณมั่นใจในอำนาจของตัวเองมากเกินไป แล้วคุณคิดว่าคุณกดหัวประชาชนไปได้เรื่อยๆ คุณทุบทำลายความหวังเขาไปเรื่อยๆ ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น ไม่แคร์ วันหนึ่งมันก็อย่างที่ผมว่า อาจจะระเบิดออกมาก็ได้ ในโลกนี้มันก็มีหลายครั้งแล้ว อยู่ดีๆ มันก็เกิดอาหรับสปริง หรือปีที่แล้ว บังกลาเทศ คนออกมาขับไล่นายกรัฐมนตรี
“ผมว่ามันก็อันตราย ถ้าปี 2570 คนตั้งความหวังว่าจะเปลี่ยน ผ่านคูหาเลือกตั้ง แล้วพรรคการเมืองที่เขาสนับสนุน ตัวแทนที่เขาอยากเห็นเข้าไปสู่อำนาจ มันโดนตัดตอนตั้งแต่ต้น อันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะนำไปสู่อะไรก็ไม่รู้ เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอก มันไม่สามารถ ‘ประเมินต่ำ’ ได้ การเมืองไทยมันไม่เคยนิ่งนาน
“เพราะการเมืองสภาพแบบนี้ไม่ได้มีใครชอบทั้งสิ้น การเมืองแบบอึมครึม การเมืองที่บีบให้ต้องมาเกิดดีลแบบนี้ แล้วตั้งรัฐบาลที่มีแต่ ‘ฉันทามติขั้นต่ำ’ ว่าไม่เอาอะไร แต่ไม่ได้มีอะไรร่วมกัน สุดท้ายมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาก็จะหมักหมม ยังไงคนก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงอยู่
“หรือกระทั่งคนที่หนุนรัฐบาลปัจจุบัน เขาก็อยากเห็นผลงานที่มากกว่านี้ แต่มันก็ติดกับดักไปหมด เพราะชนชั้นนำเขาไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนอะไรมาก เพื่อไทยเองจะไปเปลี่ยนอะไรมากก็ไม่ได้ มันก็จะไปขัดกับฉันทามติที่เขากำหนดเอาไว้ ตีกรอบเอาไว้ให้ทำได้แค่นี้
“พอสภาพเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้มีความชอบธรรมมาก ไม่ได้มีความนิยมมาก แล้วสังคมก็ยังแบ่งขั้วแบ่งข้าง ยังไม่ได้มี ‘ฉันทมติใหม่’ ที่มันจะมาหลอมรวมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน มันก็เป็นการเมืองที่พร้อมจะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้เมื่อไหร่”
“(คนก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นรัฐประหาร – ใบตองแห้ง) การเมืองไทยมันเลยอยู่ในวงจรอุบาทว์อย่างแท้จริง มันเละเทะ มันบิดเบี้ยวไปหมด มันก็เหมือนกับว่าชนชั้นนำเองหรือกองทัพ เขาก็มีเครื่องมือในการขู่ เฮ้ย! ถ้าจะมาเปลี่ยนอะไรมากเกินไป เดี๋ยวทำรัฐประหารนะ
“ถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ การเมืองมันก็ไม่ไปไหน สังคมมันก็ไม่พัฒนา เศรษฐกิจก็แย่ พูดง่ายๆ ฉันทมติของชนชั้นนำอันนี้ที่จะสกัดความเปลี่ยนแปลง มันเป็นฉันทมติที่ ‘ฝืน’ กระแสความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม
“คนต้องการความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่านี้ มันเลยสวนทางกัน อีลีตเขาไปจับมือกัน เขาตกลงกันได้ แต่สังคมไม่ได้เห็นด้วยกันแบบนั้นทั้งหมด
“หรือที่อีลีตบอกว่า ห้ามแตะต้อง 112 สิ้นเชิง 112 กลายเป็นอะไรที่แก้ไม่ได้ แต่ถ้าไปถามสังคมจริงๆ ผมว่ากระแสต่อต้าน (ขบวนการรณรงค์แก้ไข ม.112) มันน้อยลงเยอะแล้วนะ คนเข้าใจเรื่อง 112 มากขึ้น หรือคนตระหนักรู้มากขึ้นว่ามันมีปัญหา
“เผลอๆ มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นฉันทมติว่ามันต้องแก้บ้าง มาตรา 112 นี้ แต่อีลีตบอก ห้ามแก้เลย มันสวนทางกัน ฉันทามติของชนชั้นนำมันไม่ได้สะท้อนความคิดของคนในสังคมทั้งหมด แต่คุณจะใช้กำลังบีบให้คนห้ามคิดต่าง”
https://www.matichonweekly.com/column/article_828992
“ผมคิดว่า ตราบใดที่หุ้นส่วนทางอำนาจนี้ยังมีฉันทมติตรงนี้อยู่ มันก็จะไม่มีอะไรที่มาเป็นอุบัติเหตุใหญ่ถึงขั้นล้มรัฐบาล จะไม่มีการรัฐประหาร สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เขาอาจจะเปลี่ยนแค่ตัวนายกฯ เปลี่ยนรัฐมนตรี หรือสกัดไม่ให้ทำนโยบายบางอย่าง แต่มันจะไม่ได้ถึงขั้นที่มาเปลี่ยนดุลทางอำนาจมากเกินไป ถึงขั้นล้มรัฐบาลเลย อันนี้ไม่มี
“ฉะนั้น การเมืองจะนิ่งๆ ไปอย่างนี้ จนถึงปี 2570 ภายใต้ฉันทมตินี้ เป็นการนิ่งที่อาจจะไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก ข้อดีคือไม่มีความรุนแรงบนท้องถนน ไม่มีความขัดแย้งสูง ทุกอย่างถูกกดเอาไว้ กระทั่งคนที่ไม่พอใจสภาวะแบบนี้ มันก็ถูกทำให้หมดหวังว่าคุณเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก คุณไปรอเลือกตั้ง 2570 แล้วกัน
“(เลือกตั้ง 2570 คุณก็เปลี่ยนไม่ได้อีก เพราะพรรคประชาชนถูกตัดหัวหมด – ใบตองแห้ง) ตรงนี้มันจะเป็นอันตราย ถ้ามันไปทำลายความหวังมากเกินไป ถึงจุดหนึ่งมันก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ในทางการเมือง ไปทำอะไรบางอย่างที่มันเป็นชนวน เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่าอันไหนมันจะจุดติด จุดไม่ติด ก่อนหน้าที่จะมีการประท้วงครั้งใหญ่
“ถ้าคุณมั่นใจในอำนาจของตัวเองมากเกินไป แล้วคุณคิดว่าคุณกดหัวประชาชนไปได้เรื่อยๆ คุณทุบทำลายความหวังเขาไปเรื่อยๆ ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น ไม่แคร์ วันหนึ่งมันก็อย่างที่ผมว่า อาจจะระเบิดออกมาก็ได้ ในโลกนี้มันก็มีหลายครั้งแล้ว อยู่ดีๆ มันก็เกิดอาหรับสปริง หรือปีที่แล้ว บังกลาเทศ คนออกมาขับไล่นายกรัฐมนตรี
“ผมว่ามันก็อันตราย ถ้าปี 2570 คนตั้งความหวังว่าจะเปลี่ยน ผ่านคูหาเลือกตั้ง แล้วพรรคการเมืองที่เขาสนับสนุน ตัวแทนที่เขาอยากเห็นเข้าไปสู่อำนาจ มันโดนตัดตอนตั้งแต่ต้น อันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะนำไปสู่อะไรก็ไม่รู้ เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอก มันไม่สามารถ ‘ประเมินต่ำ’ ได้ การเมืองไทยมันไม่เคยนิ่งนาน
“เพราะการเมืองสภาพแบบนี้ไม่ได้มีใครชอบทั้งสิ้น การเมืองแบบอึมครึม การเมืองที่บีบให้ต้องมาเกิดดีลแบบนี้ แล้วตั้งรัฐบาลที่มีแต่ ‘ฉันทามติขั้นต่ำ’ ว่าไม่เอาอะไร แต่ไม่ได้มีอะไรร่วมกัน สุดท้ายมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาก็จะหมักหมม ยังไงคนก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงอยู่
“หรือกระทั่งคนที่หนุนรัฐบาลปัจจุบัน เขาก็อยากเห็นผลงานที่มากกว่านี้ แต่มันก็ติดกับดักไปหมด เพราะชนชั้นนำเขาไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนอะไรมาก เพื่อไทยเองจะไปเปลี่ยนอะไรมากก็ไม่ได้ มันก็จะไปขัดกับฉันทามติที่เขากำหนดเอาไว้ ตีกรอบเอาไว้ให้ทำได้แค่นี้
“พอสภาพเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้มีความชอบธรรมมาก ไม่ได้มีความนิยมมาก แล้วสังคมก็ยังแบ่งขั้วแบ่งข้าง ยังไม่ได้มี ‘ฉันทมติใหม่’ ที่มันจะมาหลอมรวมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน มันก็เป็นการเมืองที่พร้อมจะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้เมื่อไหร่”
“(คนก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นรัฐประหาร – ใบตองแห้ง) การเมืองไทยมันเลยอยู่ในวงจรอุบาทว์อย่างแท้จริง มันเละเทะ มันบิดเบี้ยวไปหมด มันก็เหมือนกับว่าชนชั้นนำเองหรือกองทัพ เขาก็มีเครื่องมือในการขู่ เฮ้ย! ถ้าจะมาเปลี่ยนอะไรมากเกินไป เดี๋ยวทำรัฐประหารนะ
“ถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ การเมืองมันก็ไม่ไปไหน สังคมมันก็ไม่พัฒนา เศรษฐกิจก็แย่ พูดง่ายๆ ฉันทมติของชนชั้นนำอันนี้ที่จะสกัดความเปลี่ยนแปลง มันเป็นฉันทมติที่ ‘ฝืน’ กระแสความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม
“คนต้องการความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่านี้ มันเลยสวนทางกัน อีลีตเขาไปจับมือกัน เขาตกลงกันได้ แต่สังคมไม่ได้เห็นด้วยกันแบบนั้นทั้งหมด
“หรือที่อีลีตบอกว่า ห้ามแตะต้อง 112 สิ้นเชิง 112 กลายเป็นอะไรที่แก้ไม่ได้ แต่ถ้าไปถามสังคมจริงๆ ผมว่ากระแสต่อต้าน (ขบวนการรณรงค์แก้ไข ม.112) มันน้อยลงเยอะแล้วนะ คนเข้าใจเรื่อง 112 มากขึ้น หรือคนตระหนักรู้มากขึ้นว่ามันมีปัญหา
“เผลอๆ มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นฉันทมติว่ามันต้องแก้บ้าง มาตรา 112 นี้ แต่อีลีตบอก ห้ามแก้เลย มันสวนทางกัน ฉันทามติของชนชั้นนำมันไม่ได้สะท้อนความคิดของคนในสังคมทั้งหมด แต่คุณจะใช้กำลังบีบให้คนห้ามคิดต่าง”
https://www.matichonweekly.com/column/article_828992