วันพุธ, พฤศจิกายน 13, 2567

นี่คือเสียงจากเหยื่อสงครามที่ยังอยู่ในกาซาตอนเหนือ


บีบีซีไทย - BBC Thai
15h ·

นี่คือเสียงจากเหยื่อสงครามที่ยังอยู่ในกาซาตอนเหนือ
.
คำเตือน: รายงานนี้มีเนื้อหาและภาพที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
อ่านเพิ่มเติม https://bbc.in/411gC0H

"เรามีชีวิตวันนี้ และคิดว่าจะตายวันนี้" เสียงจากเหยื่อสงครามที่ยังอยู่ในกาซาตอนเหนือ


กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นหลังจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของอิสราเอลในเมืองเบตลาเฮีย ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา

อิธาร ชาลาบี
บีบีซี แผนกภาษาอาหรับ
12 พฤศจิกายน 2024

คำเตือน: รายงานนี้มีเนื้อหาและภาพที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

บนโต๊ะอาหารกลางวันของฟาติมาและสมาชิกครอบครัวอีก 30 คน ในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเมืองจาบาเลีย ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา มีขนมปังแห้ง ๆ ไม่กี่ก้อนและน้ำขุ่น ๆ ในแก้วสองสามใบ

นี่คือหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งล่าสุดในพื้นที่ทางเหนือของฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 5 ต.ค.

ปัจจุบัน ฟาติมาต้องพึ่งพาถังเก็บน้ำขนาดเล็กสองถัง ซึ่งแทบไม่เพียงพอใช้และดื่มสำหรับสมาชิกครอบครัวราวครึ่งหนึ่งเป็นเวลาสองสามวันด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากถังเก็บน้ำทั้งหมดที่เก็บไว้บนหลังคาบ้านถูกทำลายจากสะเก็ดระเบิดที่ปลิวมาจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของอิสราเอลตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการครั้งนี้

“แม้แต่การเข้าห้องน้ำก็กลายเป็นปัญหา ฉันต้องหาผ้าบางชิ้นมาใช้แทนกระดาษชำระ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเหมือนสิ่งที่เกินเอื้อม” ฟาติมา อายุ 37 ปี กล่าวกับบีบีซีนอกจากนี้ เธอยังอาบน้ำได้เพียงสองสัปดาห์ครั้ง ถ้าหากว่าเธอโชคดี โดยต้องใช้น้ำที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์

“อาหารที่จะกินในวันพรุ่งนี้เหรอ ฉันและคนอื่น ๆ ที่นี่ในพื้นที่ทางเหนือไม่สามารถแม้แต่จะคิดหรือวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ได้ เพราะเราคิดถึงแต่วันนี้ และคาดว่าจะตายวันนี้ ก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึง” นี่คือสิ่งที่ฟาติมาและคนอื่น ๆ ในเขตทางเหนือของฉนวนกาซาเผชิญมาตั้งแต่ที่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดินในเขตทางเหนือของฉนวนกาซา โดยอ้างว่าเป้าหมายคือ “เพื่อป้องกันไม่ให้ฮามาสกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง” สองวันหลังจากปฏิบัติการเริ่มขึ้น กองกำลังอิสราเอลได้โปรยใบปลิวให้ชาวบ้านในเขตทางเหนือย้ายไปยังพื้นที่ทางใต้


ใบปลิวที่ส่งโดยกองกำลังอิสราเอลถึงประชาชนในเขตตอนเหนือของฉนวนกาซา สั่งให้พวกเขาย้ายไปยังพื้นที่ทางใต้

สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซาเป็นไปอย่างยากลำบากอย่างยิ่งตั้งแต่เริ่มสงคราม เนื่องจากขาดแคลนอาหารและเวชภัณฑ์อย่างรุนแรง การทิ้งระเบิดของอิสราเอลเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มสงคราม แต่ฟาติมากล่าวว่าสถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมากตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้

“เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด แย่ที่สุด และอันตรายที่สุดของสงครามเท่าที่เคยมีมา ชาวอิสราเอลกำลังกดดันพวกเราด้วยพละกำลังและความรุนแรงทั้งหมดเพื่อบีบให้เราละทิ้งบ้านของเรา ฉันเรียกช่วงนี้ว่า ช่วงเอาตัวรอดหรือความตาย” เธอกล่าว

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. อาวีคาย อัดราอี โฆษกกองทัพอิสราเอล ได้โพสต์ข้อความบนเอ็กซ์ พร้อมแนบแผนที่ เรียกร้องให้ชาวบ้านในเขต D5 ซึ่งรวมถึงค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย, จาบาเลีย อัลบาลัด และพื้นที่อัลนาซลาในเขตทางเหนือของฉนวนกาซา ย้ายไปยัง "เขตมนุษยธรรม" ทางตอนใต้ โดยเขาอธิบายว่าเขต D5 เป็น "เขตการรบที่อันตราย"

แต่ฟาติมาและครอบครัวของเธอปฏิเสธที่จะย้ายออกจากพื้นที่

“เหตุผลเดียวที่เราไม่ย้ายไปไหนก็เพราะไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยให้ไป พวกเขาโจมตีทุกที่ในฉนวนกาซา เราจึงเลือกที่จะตายในบ้านของเราและในประเทศของเรา ดีกว่าจะตายที่อื่น” เธอกล่าว


ฟาติมากับแม่ของเธอ ซึ่งต่อมาเสียชีวิตจากเหตุระเบิดในเมืองจาบาเลีย

ฟาติมาได้ส่งข้อความเสียงหลายข้อความให้กับบีบีซีเพื่อบรรยายสถานการณ์ในพื้นที่ทางเหนือของฉนวนกาซา ในข้อความหนึ่งของเธอ เธอกล่าวว่า: "เพราะการสื่อสารถูกตัดขาดเกือบตลอดเวลา เราไม่ทราบว่ามีคนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วในบ้านของพวกเขา เพราะเราไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้เลย"

ฟาติมาต้องค้นหาบริเวณในจาบาเลียที่มีสัญญาณ และเดินผ่านหลายพื้นที่เพื่อหาเครือข่ายโทรศัพท์ ในการเดินทางนี้ เธอพบเห็นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความโหดร้ายของสงคราม “นอกเหนือจากกองขยะและน้ำเสียที่สะสมอยู่ในส่วนใหญ่ของย่านในพื้นที่แล้ว ยังมีกลิ่นของศพที่กำลังเน่าเปื่อยลอยมาจากหลายมุม” เธอกล่าวกับบีบีซี

ทีมรถพยาบาลและกู้ภัยไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ถูกโจมตีทางอากาศทางตอนเหนือของฉนวนกาซาได้ “ฉันแทบจะบอกไม่ได้เลยว่ากลิ่นเหม็นที่ได้กลิ่นอยู่ทุกที่นั้นมาจากที่ไหน มันเป็นการผสมของกลิ่นขยะ น้ำเสีย ศพของสัตว์และมนุษย์ที่เน่าเปื่อย ฝุ่นจากซากปรักหักพัง และควัน” ฟาติมากล่าว

ภาพในเมืองเบตลาเฮียที่ตั้งอยู่ทางเหนือของฉนวนกาซาก็มีความคล้ายคลึงกัน เมืองซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวกลับกลายเป็นสีเทา เนื่องจากกองซากปรักหักพังและความเสียหายที่เกิดจากการทิ้งระเบิดของอิสราเอล เทศบาลได้ประกาศให้เป็น "พื้นที่ภัยพิบัติ" เมื่อวันที่ 30 ต.ค.

ซาดิก อัล-ซุลตาน จากเบตลาเฮียคือ หนึ่งในผู้บาดเจ็บใกล้โรงพยาบาลอัล-ออดาในเขตเทล อัล-ซาทาร์ ทางเหนือของกาซา เขาให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ว่าเขาเห็นเปลวไฟที่ลุกไหม้ต่อเนื่องหลายวันในโรงเรียนหลายแห่งที่ถูกใช้เป็นที่พักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นหลายพันคน เขาเสริมว่า: "ผมมองเห็นเปลวไฟจากหน้าต่างโรงพยาบาล และเสียงระเบิดนั้นแทบจะดังจนแสบแก้วหู"

แม่และน้องชายของฟาติมาทั้งคู่เสียชีวิตหลังจากอาคารในจาบาเลียที่พวกเขาอยู่ถูกทิ้งระเบิด น้องชายของฟาติมา อัยมัน ได้รับบาดเจ็บในเหตุระเบิดและเสียชีวิตในเวลาต่อมาเพราะไม่มีรถพยาบาลมาช่วยเหลือ ที่จริงแล้ว โรงพยาบาลทั้งสามแห่งในภาคเหนือของกาซา คือโรงพยาบาลอัล-ออดา โรงพยาบาลอินโดนีเซีย และโรงพยาบาลคามาล อัดวาน ไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไปเนื่องจากสงคราม

สถานพยาบาลไม่สามารถดำเนินการได้เพราะการโจมตีที่มุ่งเป้าของกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ที่อ้างว่าโรงพยาบาลถูกใช้โดยกลุ่มฮามาสเป็นศูนย์ปฏิบัติการ ซึ่งฮามาสปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ ในความเป็นจริง IDF ได้แถลงล่าสุดว่าพวกเขา "เสร็จสิ้นปฏิบัติการที่แม่นยำต่อแหล่งกบดานของกลุ่มก่อการร้ายฮามาส" ในโรงพยาบาลคามาล อัดวาน และ "ได้ดำเนินการเพื่อลดการเสียชีวิตของพลเรือน และอำนวยความสะดวกในการอพยพจากโรงพยาบาล" ซึ่งพวกเขาพบ "อาวุธ เงินสด และเอกสารที่เป็นของฮามาส"


กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซาเนื่องจากกองขยะและศพ

ชาวปาเลสไตน์เชื่อว่าอิสราเอลกำลังพยายามดำเนินการตามส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่า "แผนของนายพล" ซึ่งสื่ออิสราเอลระบุว่าเป็นข้อเสนอโดยอดีตนายทหารอิสราเอล และมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ทางเหนือของฉนวนกาซาให้เป็น “เขตปิดทางทหาร” เพื่อกำจัดมีอยู่ของสมาชิกกลุ่มฮามาสทั้งหมด

แผนนี้จะบังคับให้พลเรือนที่เหลือในภาคเหนือย้ายออกไป ซึ่งปัจจุบันคาดว่ามีจำนวนไม่ถึง 100,000 คน จากนั้นจะมีการล้อมสมาชิกกลุ่มฮามาสที่ยังหลงเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม กองทัพอิสราเอลปฏิเสธการมีอยู่ของแผนดังกล่าวและระบุว่ามีความพยายามที่จะปกป้องพลเรือนจากอันตราย

เจ้าหน้าที่อิสราเอลกล่าวว่าพวกเขากำลังดำเนินการตามล่าหาสมาชิกกลุ่มฮามาสต่อไป หลังจากได้รับข่าวกรองที่ระบุว่าองค์กรดังกล่าวได้เริ่มฟื้นฟูกองกำลังและสร้างองค์ประกอบใหม่ในภาคเหนือของฉนวนกาซา

สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้แสดงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับวิธีการที่กองทัพอิสราเอลดำเนินการในภาคเหนือของกาซา เมื่อวันที่ 25 ต.ค. โวลเกอร์ เติร์ก หัวหน้าสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่ากองทัพอิสราเอลกำลังทำให้ประชากรทั้งพื้นที่เผชิญกับการทิ้งระเบิด การปิดล้อม และความเสี่ยงที่จะอดอยาก


ภาคการแพทย์ในทางตอนเหนือของฉนวนกาซาล่มสลายลงหลังจากโรงพยาบาลหลักสามแห่งถูกโจมตีและได้รับผลกระทบจากการสู้รบ

เป็นเรื่องยากที่จะถ่ายทอดภาพที่ชัดเจนและแม่นยำของสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของฉนวนกาซา เนื่องจากกองทัพอิสราเอลปฏิเสธไม่ให้ผู้สื่อข่าวจากองค์กรนานาชาติอิสระ รวมถึงผู้สื่อข่าวบีบีซี เข้าไปทำข่าวในพื้นที่นั้น

ตามข้อมูลจากคณะกรรมการความปลอดภัยสื่อ (Committee to Protect Journalists - CPJ) ระบุว่า มีผู้สื่อข่าวมากกว่า 130 คนเสียชีวิตในกาซานับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2023 เมื่อกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีทางตอนใต้ของอิสราเอล ซึ่งต่อมาได้รับการอธิบายว่าเป็นการโจมตีที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล

กระทรวงสาธารณสุขของฉนวนกาซา ที่บริหารงานโดยกลุ่มฮามาสรายงานว่า มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตมากกว่า 43,000 คน และบาดเจ็บมากกว่า 100,000 คน ตั้งแต่เริ่มสงครามในกาซาเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มีผู้คนกว่า 10,000 คนที่ยังสูญหายและคาดว่าเสียชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

https://www.bbc.com/thai/articles/c5ympmd501zo
.....


Andrew MacGregor Marshall
2d ·

Took me way too long to say this.
I cowardly thought it’s not my fight and I’m involved in plenty other battles I’m better qualified to help with, and I could just let others say what has to be said, and who even cares about my opinion on this subject anyway, and it’s damaging to my career to be falsely denounced as antisemitic for opposing the actions of a criminal extremist apartheid regime that most progressive Jewish people abhor, and the Middle East is just so complicated, and probably every other excuse we’ve all told ourselves.
So I kept my mouth shut much longer than I should have, but I’ve run out of excuses to not say what every sane and kind human being on our planet can plainly see.
This is genocide.
And for those who want to argue about semantics, if you want to use another word to describe systematically erasing another group of people, destroying their homes and hospitals and schools and businesses and the places where they worship, reducing the survivors to a blighted huddle of desperate nomads, making it inconceivable that they will ever even begin to rebuild their society for more than a generation, call it whatever other word you want.
It is a shocking crime against humanity, happening right now, and we are all responsible for doing what we can to stop it.