วันเสาร์, ตุลาคม 19, 2567

“โลกสมมุติ“ เป็นเรื่องสั้นกึ่งจริงกึ่งแต่ง เบนจา อะปัญ ตั้งใจเขียนเพื่อมอบให้กับ #นิรโทษกรรมประชาชน เป็นการเฉพาะ


Benja Apan
14 hours ago
·
“โลกสมมุติ“ เป็นเรื่องสั้นกึ่งจริงกึ่งแต่ง ข้าพเจ้าตั้งใจเขียนเพื่อมอบให้กับ #นิรโทษกรรมประชาชน เป็นการเฉพาะ

อ่านได้ที่ >> https://www.matichonweekly.com/column/article_808588
------------------------

ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา วันหยุดยาวของข้าพเจ้าหมดไปกับการเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดมติชนอวอร์ด เกือบครึ่งปีที่ต้องคอยกาปฏิทินทุกวันศุกร์ ลุ้นว่าจะมีผลงานของเราผ่านเข้ารอบแรกหรือไม่ จนในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ไม่ต้องลุ้นอีกต่อไป
การได้ published ให้คนได้อ่านเท่านี้ก็ดีใจมากโข ตอนนี้ไม่หวังเรื่องรางวัลอะไรอีก เพราะถือว่างานชิ้นนี้จะได้ทำหน้าที่ของตนเองแล้วเสียที ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกมิติ ทั้งนี้ก็รวมถึงตัวผู้อ่านทุกคน
กระนั้น ยังมีสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังมากกว่า นั่นก็คือ ขอให้ผู้ต้องขังทางการเมืองได้ออกจากเรือนจำโดยเร็ว ขอให้ผู้ลี้ภัยทางการเมืองได้กลับบ้าน ขอให้มีการนิรโทษกรรมประชาชน *รวมคดี112* ด้วย
ปล. ในส่วนของงานเขียนชิ้นนี้ ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งหากมีผู้ประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนหรือแนะนำอะไร โอบรับทุกความคิดเห็นค่ะ
.....

โลกสมมุติ | เบนจา อะปัญ : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024


มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2567

ฉันจำวันแรกที่ตัวเองก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ได้เป็นอย่างดี

“ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกแล้วทิ้งมันไปซะ เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก” ผู้คุมสาวกล่าวคำทักทายแก่ผู้มาเยือน

ตั้งแต่อาบน้ำด้วยตัวเองเป็น ฉันไม่เคยต้องแก้ผ้าเปลือยกายให้ใครดูแบบนี้เลย เว้นเสียแต่ว่าในยามมีเพศสัมพันธ์กับใครสักคน เมื่อวันก่อนฉันยังเป็นสุขดีกับมิตรสหายและครอบครัวอันเป็นที่รัก ไม่ทันไรกลายเป็นว่าชีวิตตอนนี้เดินทางมาถึงจุดที่ตนเองจำต้องเปลื้องผ้าให้คนแปลกหน้าดู โดยปราศจากความยินยอมพร้อมใจ “ใส่ผ้าอนามัยอยู่ ไม่ขอถอดกางเกงในได้ไหม” “จะยังไงเธอก็ต้องถอดทั้งหมดออกมาอยู่ดี” มันกำลังเริ่มขึ้นแล้วสินะ กับการถูกละเมิดสิทธิ์บนเรือนร่างของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถึงแม้ฉันจะมีสิทธิ์คิดได้ทุกสิ่งอย่างในหัว ถึงแม้ในความรู้สึกของฉันจะต่อต้านมันมากเพียงใด แต่ในโลกสมมุติแห่งนี้ สถานะของฉันคือคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรได้ทั้งนั้น สุดท้ายฉันก็ต้องกลั้นใจถอดทุกอย่างออกตามที่หล่อนสั่งรวมถึงผ้าอนามัยที่ชุ่มไปด้วยเลือดประจำเดือน สายตาตรงหน้ามากกว่าหนึ่งคู่กำลังจับจ้องดูฉันอยู่ มันกดดันจนรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยแรงอัดอันมหาศาล ความกลัวทำให้ฉันสั่นเกร็งและเย็นยะเยือกไปจนถึงไขกระดูก สมเพชตัวเองสิ้นดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“อดทนไว้ นี่แค่เพิ่งเริ่ม” ฉันปลอบตัวเองในใจ

หลังจากการแก้ผ้าเพื่อให้ผู้คุมสาวตรวจดูเรือนร่าง ฉันก็ได้รับเพียงผ้าถุงหนึ่งผืนให้นำไปใส่เป็นกระโจมอก สิ่งนี้ให้ความรู้สึกประดุจว่าตัวเองเป็น ‘อีเย็น’ จากนางทาส อีกทั้งสีของผ้าถุงนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากอีเย็นเอาเสียเลย ฉันเกิดมาไม่เคยใส่ผ้าถุงมาก่อนจึงสวมใส่อย่างไม่ถนัด หล่อนคงเห็นว่าฉันดูเป็นคนสะเปะสะปะจึงเข้ามาช่วยสวมใส่เพื่อให้มันไม่ดูทุเรศไปมากกว่านี้ แถมยังบ่นอีกว่าเป็นผู้หญิงประสาอะไรจึงใส่ผ้าถุงไม่เป็น เบื้องหน้าคือกำแพงคอนกรีตหนาอันสูงใหญ่ มีประตูเหล็กบานเล็กบานหนึ่งอยู่ทางด้านขวามือ 

“เขตหวงห้ามเด็ดขาด” ข้อความสีแดงตัวบรรจงที่ถูกเขียนไว้บนกำแพงนั้นให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและอันตราย จินตนาการไม่ออกเลยว่าเบื้องหลังกำแพงสูงนั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ภายในของฉันมันช่างเบาหวิวไปเสียหมด อีกไม่กี่อึดใจฉันกำลังจะได้เข้าไปสัมผัสมันด้วยตนเอง 

 ก่อนที่คนสติดีคนหนึ่งกำลังจะกลายเป็นบ้า จุดนั้นเขามักไม่รู้ตัว 

ฉันจ้องนาฬิกาตลอดทั้งวันราวกับว่ามันเป็นสิ่งน่าสนใจเดียวของฉันในเวลานี้ มันไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไรเลยนอกจากมองดูเข็มนาฬิกาคืบคลานเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น การเอาแต่จ้องมองดูมันมีแต่ทำให้ประสาทเสียมากขึ้น ฉันหมกมุ่นกับคำถามว่า ‘เมื่อไหร่’ อยู่ตลอดเวลา แต่จนแล้วจนเล่าคำตอบก็ยังคงเป็นอจินไตย ตอนนี้ข้างนอกนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง? มลพิษทางความรู้สึกท่วมท้นอยู่ภายในจิตใจอันหมองหม่น แต่ฉันจะปล่อยมันไว้แบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องอพยพตัวเองออกมาจากวังวนแห่งความคิดนั่นเสียที 

“มองดูรอบตัวสิน้อง ไม่มีใครเค้าอยากอยู่ในนี้หรอก ทุกคนเค้าก็อยากออกจากที่นี่กันทั้งนั้นแหละ” พี่สาวคนหนึ่งกล่าวกับฉันตอนเห็นฉันกำลังนั่งเพ่งมองนาฬิกาอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร 

ผู้คนที่นี่เมื่ออยู่ไปสักพักก็ต้องหาวิธีรับมือกับความทุกข์ที่เผชิญอยู่ให้ได้ ฉันเองก็ต้องหาทางรับมือกับมันให้ได้เหมือนกัน พวกเราแต่ละคนมีหนทางที่แตกต่างกันออกไป คนขาดศรัทธาก็วิ่งเข้าหาศาสนา คนขาดกำลังใจก็วิ่งเข้าหาความรัก คนขาดอำนาจก็วิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจ ผู้คนคิดจะทำอะไรก็ได้ ในเมื่อเราต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าโลกสมมุติแห่งนี้จะไม่ดำรงอยู่ไปตลอดกาล เพียงแต่ตอนนี้เราทำอะไรได้อีกนอกจากด้นสดและสนุกไปกับมัน 

“อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ให้ได้” พี่สาวคนเดิมย้ำเตือนให้เห็นความจริงของชีวิต 

ถ้าฉันอยากรอดจากที่นี่ อันดับแรกก็ต้องห้ามเป็นบ้า 

ในคืนที่จันทร์ส่องสกาว เราแอบนัดหมายออกมาพบกัน 

“คุณคิดถึงผมบ้างไหม” 
“คิดถึงสิ ฉันคิดถึงคุณมากเลยรู้หรือเปล่า ฉันคิดเสมอว่าในแต่ละช่วงเวลาคุณกำลังทำอะไรอยู่ ทานอะไรแล้วหรือยัง เป็นอยู่อย่างไรสบายดีไหม เมื่อไหร่ที่เราจะได้เจอกันอีก ถ้าเจอกันฉันจะทำอะไรบ้าง ฉันจะพูดอะไรกับคุณดี ฉันจะถ่ายโอนความรู้สึกที่มีทั้งหมดไปให้คุณได้อย่างไร” 

“ผมก็คิดถึงคุณ” เขากระซิบตอบฉันเบาๆ เพียงเท่านี้ 

หลายครั้งเวลาตกอยู่ในห้วงอารมณ์อันเปล่าเปลี่ยว ฉันมักแอบหนีออกมาเพื่อใช้เวลาร่วมกับเขาเพียงลำพัง เรานอนกอดกันอย่างแนบชิดภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ร่างกายของเราแบ่งปันพื้นที่ร่วมกันมากที่สุดเท่าที่คนสองคนจะทำได้ ปกติแล้วฉันไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวอย่างนี้หรอก แต่กายสัมผัสของเขาคือสิ่งเดียวที่ฉันจะยอมให้มันเกิดขึ้น นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ฉันไม่รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันยินยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาช่วงเวลานี้ไว้ 

เวลาเธอหนีออกมา พวกเขารู้ทันเธอเสมอ พวกเขารู้จักตัวเธอมากกว่าที่เธอรู้จักตัวเองเสียอีก 

“อย่าเพิ่งรีบไปไหนเลยนะ อยู่ด้วยกันก่อน ฉันไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่นแล้ว” ฉันเว้าวอนเผื่อว่าใครสักคนกำลังฟังอยู่ 

“นับยอด!” เสียงตะโกนของผู้คุมดังชัดมาแต่ไกลปลุกให้ทุกคนในรัศมีตื่นขึ้นมา ขณะนี้เป็นเวลาตีห้าเศษ เราอาจยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยให้ทำใจก่อนชีวิตประจำวันจะเริ่มต้นขึ้น หลายคนรีบเก็บที่นอนแล้วเพื่อเตรียมตัวโดนไล่ต้อนไปอาบน้ำ ส่วนตัวฉันยังอยากนอนมองเพดานที่มีพัดลมเก่าๆ ส่ายไปส่ายมาอยู่อย่างนั้น 

ลาก่อนคุณความรักของฉัน 

“เป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้” 

“ก็เรื่อยๆ นะพี่ อยู่ในนี้มันไม่มีอะไรมากหรอก กิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคย มีเวลาว่างก็อ่านหนังสือ นี่กำลังจะจบเล่มที่สามของเดือนแล้วด้วย ตอนไหนอยากหนีเที่ยวก็แค่นอนหลับ บางทีฟุ้งซ่านมากๆ ก็เขียนบันทึกเก็บไว้” 

บ่ายวันนี้คุณทนายมาเยี่ยมฉันหลังจากที่เราห่างหายไม่ได้เจอกันมาสักพัก เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อคุณมาอยู่ที่นี่ทนายจะกลายเป็นเพื่อนรักของคุณ คำพูดนั้นไม่เกินจริงเลย ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตฉันได้เจอหน้าพวกเขามากกว่าคนในครอบครัวหรือมิตรสหายเสียอีก การไปเจอคุณทนายแต่ละครั้งมักทำให้ฉันจินตนาการถึงฉากที่ตัวเองมาทำภารกิจบนดาวอันห่างไกลแล้วต้องติดต่อสื่อสารกับโลกมนุษย์ ที่ตรงนี้เราจะได้เชื่อมถึงกัน เราจะได้เห็นหน้ากัน พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะปรากฏชัดให้เห็นอยู่ตรงหน้า ในความจริงแล้วเราก็ยังห่างไกลกันอยู่มากโข ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมีมิติพิศวงในห้วงอวกาศคั่นกลางระหว่างเราอยู่ 

“ศาลสั่งขังฝั่งชายเพิ่มอีกแล้ว คราวนี้เป็นนักศึกษาเหมือนกันด้วย” คุณทนายรายงานสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

“แปลว่าตอนนี้ยังไม่มีหวังที่จะได้ออกไปจากที่นี่เลยใช่ไหม” 

“ถ้าให้พูดกันตามตรง ตอนนี้สัญญาณดูไม่ค่อยดีเลย” 

“…” 

“แต่มันมีวันเข้า ยังไงมันก็ต้องมีวันออกนะ” 

ฉันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบโต้หรือถามอะไรต่ออีก 

เมื่อก่อน เวลาคุณทนายเดินทางมาเยี่ยมและแจ้งข่าวว่าศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนถูกขังเพิ่ม ฉันจะรู้สึกเหมือนมีมีดมาปักอยู่กลางอก พวกเราถูกกระทำอีกแล้ว เวลาต้องเจอเรื่องราวที่มันโหดร้ายมากๆ ทิ่มแทงมา ก็อาจทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ขั้วหัวใจจริงๆ แต่พอเรื่องราวเหล่านั้นมันเกิดขึ้นซ้ำบ่อยเข้า จากเรื่องราวอันชอกช้ำก็จะเหลือแต่เพียงความด้านชา นั่นไม่ใช่ว่าเราไม่เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรอก แต่เป็นเพราะว่ามันไม่รู้จะเจ็บปวดอะไรไปได้มากกว่านี้แล้วต่างหาก 

“ยังตายไม่ได้นะ แล้วก็อย่าเพิ่งหมดหวังด้วย แม่ฝากมาบอกว่าทุกอย่างตรงนี้โอเคดี ถ้าได้ออกศาลอีกทีแม่จะมาหา” 

“ฝากบอกแม่ด้วยว่าคิดถึงมาก ขอโทษด้วยที่ช่วงหลังไม่ได้ส่งจดหมายหาใคร” 

“โอเคได้เลย เข้มแข็งเข้าไว้นะ แล้วเจอกันใหม่” 

หลังจากที่เราสนทนาด้วยเรื่องสัพเพเหระกันไปพอประมาณ ช่วงเวลาอันแสนสั้นกับคุณทนายได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ข่าวดียังไม่มี ส่วนข่าวไม่ดีก็มีมาตลอด อย่างน้อยสิ่งที่ช่วยทำให้ชีวิตเดินหน้าต่อได้ก็คือการรับรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ผู้คนที่เรารักกำลังเป็นอย่างไร อยู่สุขสบายกันดีหรือเปล่า ณ ที่ตรงนั้นยังมีคนเฝ้าคอยเราอยู่ใช่ไหม 

โอ้ใจเอ๋ย ฉันคิดถึงชีวิตข้างนอกจัง อยากกลับไปเรียนหนังสือ อยากกลับไปหาครอบครัวใจจะขาด ยังมีอะไรอีกหลายอย่างรอให้เราได้ผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่น แต่ตอนนี้ตัวเราดันมาติดอยู่ในกำแพงคอนกรีตอันแสนคับแคบ มันยากเหลือเกินที่จะต้องสร้างความหวังให้ตัวเองในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ต้องมีความสุขในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทน ต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่ยากจะยอมรับ แต่จะสาหัสแค่ไหนก็ต้องทำ 

จงใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ในโลกอันมืดมน 

โลกสมมุติแห่งนี้ไม่มีวันมืดสนิท 

อยู่ที่นี่พวกเราไม่สามารถปิดไฟนอนได้เหมือนอยู่ที่บ้าน การนอนหลับใต้แสงหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา นั่นจึงทำให้ฉันมีแสงสว่างเพียงพอที่จะใช้อ่านหนังสือก่อนนอนได้ ยามราตรีที่ทุกคนต่างหลับใหลนั้นหมายถึงทุกอย่างเงียบสงบ ไม่ต้องทนประสาทเสียฟังเสียงความวุ่นวายที่ถูกยัดเยียดเข้ามาให้ในแต่ละวัน เหล่าบรรดาเสียงรบกวนที่เราเลือกไม่ได้ จะหนีจากมันก็ไม่ได้ ดังนั้น ตอนกลางคืนจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับฉัน 

ฉันนอนอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพัง จนไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมาไกลแค่ไหน 

เนื่องจากกฎของการนอนในแต่ละค่ำคืนคือภายในห้องขังจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่คอยตื่นอยู่ พวกเราจึงต้องแบ่งหน้าที่ผลัดกันอยู่เวรเฝ้ายามไปจนถึงเช้า ด้วยความที่คืนนั้นฉันนอนไม่หลับก็เลยอาสาอยู่เวรให้ตลอดทั้งคืน ขณะกำลังอ่านหนังสือท่ามกลางความเงียบสงัดที่ทุกคนหลับอยู่ จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดังแว่วลงมาจากห้องขังชั้นบน 

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!” 

ฉันรีบวางหนังสือลงแล้วหันมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่ามีใครได้ยินอะไรเหมือนกันหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าทุกคนยังคงหลับอยู่ ไม่มีใครได้ยินเสียงนั่นเลยเหรอ ฉันคงไม่ได้หูฝาดไปเองใช่ไหม เสียงมันดังมาจากด้านบนจริงๆ นะ 

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรต่อกับสถานการณ์ที่เจออยู่ในตอนนี้ ปุ่มฉุกเฉินในห้องขังก็ดันมีไว้พอเป็นพิธีแต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง ฉันไม่กล้าปลุกใครเพราะกลัวตัวเองหูฝาดและจะไปรบกวนเวลานอนของคนอื่นเข้า ครั้นจะให้กลับไปอ่านหนังสือต่อฉันก็ทำไม่ได้แล้ว 

“ช่วยด้วย!” ไม่ทันไรเสียงนั้นก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ฉันมั่นใจแน่ว่านั่นเป็นเสียงที่มีอยู่จริง 

เนื่องจากตำแหน่งของฉันอยู่ไม่ไกลจากห้องพักผู้คุมมากนัก จึงตัดสินใจลุกจากที่นอนวิ่งไปที่ประตูกรงขังเพื่อที่จะช่วยคนข้างบนตะโกนขอความช่วยเหลืออีกแรง นี่ต้องเป็นเหตุเร่งด่วนแน่เขาถึงตะโกนลงมาในช่วงเวลาแบบนี้ ฉันตะโกนอยู่นานหลายนาทีแต่ความช่วยเหลือก็ยังดูไร้วี่แวว ไม่มีเสียงของใครตอบกลับมาทั้งนั้น มีเพียงความเงียบงันที่กำลังห้อมล้อมตัวเราอยู่ 

ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีจึงรีบเดินกลับมายังที่นอนของตัวเอง พร้อมกับความฉงนใจว่าเราจะหูฝาดถึงสองครั้งเชียวหรือ ทำไมผู้คุมจึงทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้กระทั่งเสียงของฉันที่ตะโกนอยู่ใกล้ๆ ฉันมัวแต่ครุ่นคิดประมวลผลกับเหตุการณ์ประหลาดที่พบเจอ จนไม่ทันได้เอะใจว่าทุกคนที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีใครได้ยินเสียงตะโกนของฉันเหมือนกัน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว 

ทุกชีวิตยังคงหลับสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่มีใครตะโกนลงมาอีก 

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำหายใจไม่ออก ความสับสนอลหม่านยังคงติดค้างอยู่ในใจแม้ว่าจะตื่นขึ้นมาไม่เห็นกรงขังอีกต่อไปแล้วก็ตาม ตอนนี้ฉันกำลังอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง ในห้องนอนของตัวเอง จ้องมองเพดานที่ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง 

ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่าง แต่กระนั้นยังไม่เห็นแสงแดดสาดส่องเข้ามา 

บางครั้งฝันร้ายยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในจิตใต้สำนึก และพร้อมจะออกมาฉายซ้ำแก่เราอยู่เรื่อยไปยามเราหลับใหล ฉันกล้าพูดได้เลยว่าในแต่ละวันแค่ตื่นมาโดยที่ไม่เห็นกรงขังรายล้อม ก็นับว่าเป็นโชคดีของชีวิตวันนั้นแล้ว ขอแค่ได้มีอิสระในการใช้ชีวิต นั่นก็ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมี 

หลังจากนอนมองเพดานจัดระเบียบจิตใจอยู่ประมาณหลายนาที ฉันก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตกับอิสรภาพที่ตัวเองถือครองอยู่ น่าสังเกตว่าเช้าวันนี้เจ้าเหมียวตัวแสบของฉันหายตัวไปอย่างน่าประหลาด ปกติแล้วในยามตื่นนอนมันจะยังอยู่บนเตียงด้วยกันเสมอ 

ฉันเดินออกจากห้องนอนลงมายังห้องครัวเพื่อที่จะชงกาแฟดื่มเผื่อว่าสมองจะได้ปลอดโปร่งขึ้น เสียงโทรทัศน์ที่คงมีใครลืมปิดตั้งแต่เมื่อคืนแว่วดังมาจากห้องนั่งเล่น ได้ยินผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวานนี้ศาลมีคำสั่งให้ขังนักศึกษาเพิ่มอีกรายจากการออกไปประท้วงบริเวณท้องสนามหลวง ทำไมเจ้าเหมียวยังไม่ปรากฏตัวอีก จิตใจของฉันเริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้วเนื่องจากเพื่อนรักสี่ขาหายตัวไป แต่ละย่างก้าวที่เดินวนอยู่ในบ้าน ฉันรู้สึกเหมือนมีใครคอยกระซิบบอกว่ามีดวงวิญญาณฝันร้ายอันป่าเถื่อนกำลังติดตามตัวฉันอยู่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันใช้วิธีหลบหนีเพื่อสลัดมันออกจากตัวเอง แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่เคยหายไปไหน 

“ปัง ปัง ปัง!” เสียงมาจากหน้าบ้านเหมือนมีใครกำลังทุบประตู มันดังมากและฟังดูเกรี้ยวกราด ฉันสะดุ้งตกใจแต่ก็รวบรวมสติเพื่อไปตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ตัวเองรีบเดินจนมาถึงหน้าประตูแล้วกำลังจะเอ่ยปากถามด้านนอกว่านั่นใครมา แต่ทว่า เสียงที่ฉันเปล่งออกมากลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า… 

“ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!” ใครข้างนอกนั่นกำลังทุบประตูดังขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด 

จนถึงจุดนี้ ร่างกายของฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไปแล้ว ฉันทำอะไรไม่ได้อีกราวกับสูญสิ้นอำนาจเหนือร่างกายของตน “ขณะนี้นะครับมีประชาชนเกือบห้าสิบคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำเพียงเพราะตัวเองออกมาแสดงจุดยืนทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บนโลกอินเตอร์เน็ต หรือจากการชุมนุมที่ผ่านมาก็ตาม สถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมืองในบ้านเรามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น หลายคนถูกพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลานานหลายปี และมีอีกหลายคนที่ศาลยังคงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยเหตุเกรงว่าจะหลบหนี” เสียงของโทรทัศน์ได้ยินอย่างชัดเจนเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ 

ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ 

ฉันยืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่อย่างนั้นพร้อมกับกล่าวขอโทษกับตัวเองซ้ำๆ ที่ทำได้แค่ยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตู 

ฉันขยับตัวไม่ได้ พูดอะไรออกมาก็ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรฉันก็ต้องพยายามตะเบ็งเสียงนั้นออกมา 

“ช่วยด้วย!” 

ทันใดนั้นฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฝันร้ายปิดฉากลง แต่คราบน้ำตายังตามหลอกหลอนออกมาสู่ชีวิตจริง ขณะนี้เป็นเวลาย่ำรุ่งแล้ว

ฉันนอนเหม่อมองดูเพดานอยู่นานหลายนาที 

“ได้เวลาตื่นมาใช้ชีวิตของเราต่ออีกวัน” ฉันบอกกับตัวเองแบบนั้น •

https://www.matichonweekly.com/column/article_808588