คดีนี้ควรต้องเป็นแบบอย่างอันสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งใช้อำนาจล้นเกินความถูกต้องเที่ยงธรรม โดยเฉพาะองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องปรามการทุจริต หรือ ปปช.ซึ่งประพฤติ ‘ทุจริต’ กันเสียเอง แม้นว่าเหตุเกิดในยุคอำนาจรัฐประหาร
เมื่อ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ สำนักงาน ปปช.และเลขาธิการ จ่ายค่าปรับรายละ ๕ พันบาท จากการที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดก่อนหน้านี้ ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๒๔/๒๕๖๖ ให้เปิดเผยเอกสารข้อมูล ปปช.
อันสืบเนื่องมาจากคดี สค ๓๓๓/๒๕๖๒ ที่นายวีระ สมความคิด เป็นผู้ร้องให้ ปปช.เปิดเผยคำวินิจฉัยของกรรมการ ปปช.แต่ละคน ที่ ‘ตีตก’ คำร้องฟ้องคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนาฬิกาหรูราคาแพงจำนวนนับเป็นสิบๆ ในครอบครอง แล้วอ้างว่าล้วน “เพื่อนให้”
ในตอนนั้น ปปช.อ้างว่ายังเปิดเผยเอกสารไม่ได้เพราะอยู่ระหว่างรอการอุทธรณ์ ต่อเมื่อนายวีระต่อสู้คดีอย่างไม่ย่นย่อ ท้ายที่สุด ปปช.ยอมเปิดเผยเอกสารทั้งหมดตามรายการที่ร้องขอ ๓ ประเภท แต่ล้วนเต็มไปด้วยหน้าขาวโพลน หรือมีแถบดำปกปิดเนื้อความ
คำพิพากษาเมื่อต้นเดือนนี้ย้ำให้ ปปช.เปิดเผยเอกสารที่ถูกร้องอย่างถูกต้องทั้ง ๓ รายการ ภายใน ๑๕ วัน “จนถึงบัดนี้ ป.ป.ช.ก็ยังไม่ปฏิบัติตามการบังคับของสำนักงานข้อมูลข่าวสาร และตามคำพิพากษาของศาล” เขาจึงร้องต่อศาลอีก
“ขอให้ศาลออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (เลขาธิการ ป.ป.ช.) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (กรรมการ ป.ป.ช.ที่กระทำความผิด)” ร่วมลงมติไม่ให้เอกสารสามรายการดังกล่าว “มาขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลอย่างถูกต้องครบถ้วน”
วีระแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะพ้นจากหน้าที่ทันที และอาจต้องติดคุกยาวตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตอีกด้วย” เขาให้สัมภาษณ์รายการเรื่องเด่นเย็นนี้เมื่อวานว่า คำพิพากษานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่แสดงว่ามีการกระทำความผิดโดย ปปช.
“นี่คือสารตั้งต้น เพื่อนำไปฟ้องร้องในคดีอาญา กรณีการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ วันสองวันนี้แหละผมไปยื่นแน่นอน เชื่อว่า ปปช.จะไม่พ้นคุก” กันละคราวนี้ อีกทั้งเตรียมยื่นต่อศาลฎีกา ตาม รธน.มาตรา ๒๓๗ ซึ่งถ้าศาลรับเรื่องไว้ “ปปช.ทั้งคณะ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที”
(https://www.facebook.com/permalink.=100044423829531 และ https://twitter.com/armupdate/status/1788463921344741764)