Silpee Kobkijwattana
16h·
“เมื่อวงการศิลปะ หรืองานเขียน ไม่ได้ปล่อยโอกาสให้ใครโบยบินง่ายดายขนาดนั้น”
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันได้ขบคิดนึกตกตะกอนเรื่องนี้เป็นอย่างดี ก่อนจะตัดสินใจเขียนข้อความนี้ขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เมื่อผ่านการตกตะกอนมาเป็นอย่างดี ฉันขอเป็นอีก 1 เสียงสำคัญผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์ซึ่งในภาษาทางกฎหมายเรียกว่า "โดนกระทำอนาจาร" อันหมายถึง การอนาจารโดย “ไม่มี” การล่วงละเมิดใดๆ
แต่ในคำที่ฉันใช้บอกกับครอบครัว คือ "พ่อ หนูเกือบถูกคนที่พ่อรู้จักล่วงละเมิด”
ฉันคือคนทำงานคนหนึ่ง และเชื่อแบบนั้นเสมอมา ว่า “การทำงาน” และความขยันขันแข็งจะพาเราไปทุกที่ ไม่ใช่อื่นใด แต่ในเหตุการณ์นี้ ผสมรวมกันเข้ากับความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่ได้ชักชวนผู้บุคคลนี้ มาเป็น ”บรรณาธิการ” ให้กับ โปรเจ็ค “รวมเรื่องสั้นนักเขียนพำนัก ณ เชียงใหม่” โดยที่ตัวฉันเองเป็นผู้ชักชวนบรรณาธิการ, และนักเขียน มาทำงานในโปรเจ็คนี้ด้วยความเชื่อใจทั้งสิ้น
แต่กลายเป็นว่า ฉันถูกคนที่ฉันให้ความเคารพ ไว้ใจ และเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพด้านการทำงานบรรณาธิการมารุกล้ำเนื้อตัวร่างกายของฉัน โดยที่ฉันไม่ยินยอม และได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนไปแล้วนั้น มันสร้างบาดแผลทางใจให้ชีวิตฉัน อย่างยากที่จะลบเลือน
“เขาไม่ได้แค่ย่ำยีความเชื่อถือที่ฉันมีให้ แต่ยังเหยียบย่ำความฝันในการทำงานที่ฉันรักและอยากให้เกิดขึ้นจริงต้องสลายลง”
และคุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะรวบรวมความกล้าเพื่อเปิดปากเอ่ยประโยคนั้นบนโต๊ะอาหารกับสมาชิกในครอบครัว
แต่สิ่งที่คุณควรสนใจคือ ตัวตนอันกระจ้อยร้อยของฉัน และเรื่องราวนี้มันยิ่งใหญ่มากโขเพียงใด ฉันเพียงหวัง และเชื่อว่า เรื่องราวนี้ทำหน้าที่เผาไหม้เรื่องราวอันเน่าเฟะในวงการงานเขียนนี้ หรือวงการใดๆก็แล้วแต่
ฉันอยากจะทำให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนของ “ผู้กระทำ” ไม่ใช่บทเรียนของ “ผู้ถูกกระทำ” และไม่ใช่บทเรียนของผู้มีหน้าที่ดูแลใดๆทั้งสิ้น และไม่ว่าเพศใดก็ตาม ไม่ใช่แค่เพศหญิง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณต้องมีท่าทีที่เข้มแข็งมากพอ ที่จะออกมาส่งเสียง และใช้สติในการตัดสินใจ
ฉันรู้ดีว่าเมื่อข้อความนี้ออกสู่สาธารณะ ฉันอาจจะต้องเผชิญกับคำพูดเคลือบแคลงใจ และความอยากรู้อยากเห็นที่จะเอาเรื่องของฉันไปเล่าต่ออย่างสนุกสนาน หรือแม้แต่เพื่อจะนำไปวิเคราะห์ในฐานะชาวเน็ตผู้รู้ดี จากการที่ฉันเปิดเผยตัวตนในฐานะผู้ถูกกระทำ
“แต่นั่นไม่สำคัญ”
เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันกล้าที่จะเผยตัวเองว่าถูกคนที่มีหน้ามีตาในสังคมวงการหนังสือล่อลวง เพื่อหวังผลที่จะล่วงละเมิดกายฉันนั้น
เพราะฉันนึกถึงผู้หญิงจากตัวของฉัน และทุกเพศบนโลกจากเศษเสี้ยวของฉัน อีกมากที่อาจกำลังเผชิญเหตุการณ์เหมือนฉัน แต่ด้วยเหตุใดก็ตามอาจจะยังไม่สามารถออกมาพูดได้ ซึ่งตัวฉันเองก็เข้าใจพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี จึงเก็บงำความเจ็บปวดไว้ตามลำพัง
หากใครเคย หรือกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกความเชื่อใจไว้ใจทำร้าย ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่ตามลำพัง
และอย่าปล่อยให้คนที่ใช้ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ มาฉกฉวยประโยชน์บนเนื้อตัวร่างกายของคุณ หากคุณเคยถูกกระทำจากบุคคลท่านนี้ มาร่วมดำเนินคดีตามกฏหมายไปด้วยกันตามข้อกำหนดของชั้นศาลค่ะ
คนเช่นนี้ ต้องได้รับโทษ และไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีสติในการยืนหยัดเพื่อตัวเอง
สุดท้ายขอบคุณทุกคน ครอบครัว, เพื่อน, พี่ป้าน้าอาลุง, ผู้ร่วมงาน รวมไปถึงทุกความสัมพันธ์อันดีงามในชีวิต ณ ขณะนี้ ที่คอยเป็นกำลังใจ ชุบชูกัน พาแมวน้ำผ่านเหตุการณ์นี้มา สิ่งเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้เลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
..
Prakit Kobkijwattana
19h·
“ คนเลวเยี่ยงนี้ในวงการนักเขียนและแวดวงศิลปะ ต้องไม่เหลือที่ยืนให้”
หลายวันมานี้ ผมไปสถานีตำรวจเป็นเพื่อนลูกสาว เพื่อดำเนินคดีฟ้องคนที่เรียกตัวเองว่าบรรณาธิการหนังสือคนหนึ่ง ( ชื่อเล่น ต. )ในข้อหากระทำอนาจารและพยายามจะล่วงละเมิดทางเพศ
(ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด เพราะให้ปากคำตำรวจไปหมดแล้ว ซึ่งตำรวจรับเป็นคดีและกำลังออกหมายเรียกให้มารับทราบ ซึ่งถึงตอนนี้นักสืบโซเชี่ยลหลายคนคงทราบว่าเขาคือใคร )
ผมหมั่นเตือนลูกให้ระวังตัวเสมอ เวลาไปไหนดึกๆ เพราะกลัวภัยจากคนที่เราไม่รู้จัก
แต่กลายเป็นว่า คนที่อยู่ในวงการนักเขียน มีความใกล้ชิดในฐานะมิตรสหายที่พบปะกันตามงานต่างๆ
คนที่ทำตัวเป็น "แฟมิลี่แมน" ต่อหน้าวงสังคม
คนนี้ต่างหาก ที่เป็นบุคคลอันตราย
สาเหตุที่ทำให้ลูกสาวผมไปใกล้ชิดกับบุคคลนี้ เกิดจากความเชื่อใจ ไว้ใจ เห็นหน้ารู้จักกันมานานพอสมควร และลูกสาวผมชื่นชมบุคคลนี้ในความเป็นมืออาชีพ และการมีภาพครอบครัวที่น่ารัก จึงเอาโปรเจคท์สำคัญ เกี่ยวกับการพาเหล่านักเขียนไปพักที่เชียงใหม่ มาปรึกษาและขอให้บุคคลนี้ทำหน้าที่บรรณาธิการ
แต่แล้ว บุคคลนี้กลับใช้ความไว้ใจของลูกสาวผม เป็นเหยื่อล่อล่วง ด้วยวาจาที่ส่อถึงเจตนาต้องการละเมิดทางเพศ ทั้งยังพาดพิงถึงหญิงสาวคนอื่นในทางเสียหาย
เมื่อลูกบอกให้ผมรู้ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น
ผมส่งข่าวให้ทางครอบครัวของคนนี้รู้ทันที
เพราะต้องการให้เห็นความน่ารังเกียจและขยะแขยงที่เขาแสดงต่อลูกผม
ผมตระหนักนะว่าครอบครัวเขาก็เจ็บปวด ที่รับรู้เรื่องนี้
แต่การกระทำของเขา ผมให้อภัยไม่ได้
ผมมักคิดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะส่งผลอย่างไรกับลูกสาว
คนที่กระทำควรได้รับผลลัพธ์อย่างไร? แต่ผมคิดว่านั่นไม่สำคัญแล้ว
ผมบอกกับลูกสาวว่าไม่ต้องกลัว เรื่องนี้พ่อจะช่วยให้ถึงที่สุดและเอาผิดแบบไม่มีข้อต่อรองใดๆ
ผมต้องการพิสูจน์จุดยืนในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดจากผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ที่มากระทำต่อผู้หญิงที่ยังอยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรังเกียจมาตลอดชีวิต
ดังนั้น ผมจะกำจัดคนชั่วร้ายให้ออกไปจากวงการนักเขียนและศิลปะ
สองสามวันมานี้ผมคอยเฝ้าดูแลจิตใจเธอด้วยความเป็นห่วง
เชื่อว่า จนถึงตอนนี้จิตใจเธอเกือบจะปกติแล้ว
เอาเข้าจริงเธอแกร่งกว่า กล้าหาญกว่า และเข้มแข็งกว่าที่ผมคาดไว้มาก
เธออดทนจนงานธีสิสเสร็จ แลัวค่อยจัดการเรื่องนี้
เธอยืนกรานว่าจะไม่ยอมความเด็ดขาดและจะเอาผิดให้ถึงที่สุดเพื่อปกป้องผู้หญิงที่จะต้องตกเป็นเหยื่อในอนาคต
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมบอกลูกเสมอว่าโลกนี้ไม่ได้งดงามดั่งตาเห็น บทเรียนชีวิตต้องเรียนรู้จากการใช้ชีวิตจริงๆ ในสังคม
วันนี้ลูกคงได้รับบทเรียนชีวิตที่สำคัญไปแล้ว คืออย่าไว้ใจมนุษย์
ขอบคุณพี่ป้าน้าอาทุกคนที่มีส่วนช่วยให้ความช่วยเหลือในทางกฎหมาย คำปรึกษา และกำลังใจมากมายที่มีต่อผมและลูกสาว
และขอบคุณตำรวจหนุ่มสาวที่สถานีตำรวจสน.ประชาชื่น ทำหน้าที่ดีมาก ช่วยเหลือลูกและผมในการสอบสวน จนนำไปสู่การดำเนินคดี ซึ่งผมและครอบครัว รวมทั้งเพื่อนของลูกสาว ขอยืนยันจะยืนหยัดต่อสู้แบบถึงที่สุด
หมายเหตุ : ข้างล่างคือข้อความที่เขาพยายามขอโทษน้องและผม
ปล. แม้ลูกจะรอดมาอย่างปลอดภัย แต่หากใครเคยประสบเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด จากบุคคลนี้ และอยากจะร่วมต่อสู้ ผมขอสนับสนุนและยินดีช่วยเหลือนะครับ
เราทุกคนที่เป็นเหยื่อต้องกล้าสู้กับคนเลว
ฝันร้ายต้องอยู่กับคนกระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ