วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 06, 2566

⚠️เวลาของตะวันแบมเริ่มน้อยลง โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ติดต่อให้พ่อแม่ช่วยนำทนายเข้าเยี่ยมวันพรุ่งนี้ให้ได้ เพราะอาการน่าวิตกแล้ว⚠️ ขอเรียกร้องให้กระบวนการยุติธรรมหรือแม้แต่พรรคการเมืองรับข้อเรียกร้องให้บรรลุอย่างน้อย 1 ข้อก่อนทุกอย่างจะสายไป




Krisadang-Pawadee Nutcharus 

ถึงผู้พิพากษา

แม้จะทำหน้าที่แตกต่างกันแต่เราต่างเป็นนักกฎหมายที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา อัยการ หรือทนายความ พวกเราล้วนเป็น ”คน” รัก โลภ โกรธ หลง ต้องการเสรีภาพ ต้องการความเป็นธรรม ต้องการได้รับความยุติธรรม ต้องการอยู่ในรัฐที่ฟังเสียงของเรา และเรามีสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน

พวกเราต้องเป็น “คน” เสียก่อน ที่เราจะเป็น ผู้พิพากษา อัยการ หรือทนายความ
 
ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนของพวกเรา คุณรู้ไหมว่า

ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครมีคนอยู่ 8-9 คนที่ถูกขังมานานแล้ว โดยที่พวกเขาซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18-50 ปียังไม่ได้ถูกตัดสินชี้ขาดว่ากระทำความผิดใดๆ เลย เขาถูกรัฐกล่าวหาในความผิดเกี่ยวกับวัตถุระเบิดซึ่งที่แท้ก็คือประทัดยักษ์และระเบิดปิงปอง พวกเขาถูกขังมาเกือบปีแล้วโดยคดีของพวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการพิจารณาคดีด้วยซ้ำ พวกเขาถูกขังโดยคำสั่งของคุณ หลายคนยังเรียนหนังสืออยู่ หลายคนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องอุปการะผู้อื่นในครอบครัว การขังเขาไว้ทั้งๆที่ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆว่าเขาผิด ทำความเดือดร้อนให้กับเขาและคนจำนวนมากที่มีความเกี่ยวข้อง พวกเขาร้องขอประกันตัวออกมาสู้คดีนอกเรือนจำหลายสิบครั้ง แต่คุณปฏิเสธเรื่อยมาจนทุกวันนี้

และอีกมุมหนึ่งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รังสิต มีเด็กสาวสองคนกำลังอดอาหารและน้ำเพื่อร้องขอต่อคุณให้ประกันตัวจำเลย 8-9 คนที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กลุ่มแรก
 
เมื่อ ช.ม. ที่แล้วหมอจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ได้โทรศัพท์ถึงพ่อแม่ของเด็กสาวทั้งสองคนว่าอาการของพวกเธอทรุดลงอย่างน่าวิตก ขอให้พ่อแม่โทรศัพท์หาทนายความเพื่อไปเยี่ยมในตอนเช้าพรุ่งนี้ให้ได้

คุณฟังเรื่องราวที่ผมเล่าให้ฟังนี้ “คุณคิดอย่างไร?”

คุณอาจจะคิดว่าเด็กสาวทั้งสองคน “แบมและตะวัน” โอหังบังอาจใช้วิธีการอดอาหารกดดันและบีบบังคับคุณ
แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า “ไม่ใช่” และ “ไม่ใช่”

ผมอยากบอกคุณว่าสิ่งที่แบมและตะวันทำนั้นเป็นการร้องขอไม่ใช่การกดดัน

พวกเธอวิงวอนร้องขอต่อคุณด้วยการทรมานตัวเอง ด้วยการเอาชีวิตในวัยสาวที่พวกเธอรักและหวงแหนมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเธอร้องขอนั้นพวกเธอเชื่อมั่นว่ามันถูกต้อง ซึ่งผมเห็นว่ามีคุณค่าเสียยิ่งกว่าการคุกเข่ากราบกรานและร้องขอเสียอีก

คุณทราบดีอยู่ว่าสิ่งที่แบมและตะวันร้องขอต่อคุณนั้นไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ใดๆของตัวเองเลย พวกเธอไม่ได้เรียกร้องเพื่อตัวเอง ผู้ต้องขังทางการเมืองที่พวกเธอขอร้องให้คุณอนุญาตให้ประกันตัวไปสู้คดีตามอำนาจที่คุณมีอยู่นั้นไม่ใช่ญาติพี่น้องของพวกเธอเลย การเอาชีวิตของพวกเธอมาร้องขอต่อคุณครั้งนี้พวกเธอจะไม่ได้อะไรทั้งสิ้น

ถ้าเราไม่โกหกตัวเองข้อเรียกร้องที่พวกเธอขอสิทธิการประกันตัวมาสู้คดีนอกเรือนจำให้แก่คนอื่นนั้นมันก็เป็นสิทธิเป็นหลักการที่กฎหมายรับรองไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้ว

เพียงแต่คุณ “ฟัง” เขาคุณจะรู้ว่าสิ่งที่แบมและตะวันร้องขอมันเป็นหลักประกันสิทธิของพวกเราทุกคน ทั้งของคุณ ญาติพี่น้องคุณ ลูกหลานของคุณ เพื่อให้ปลอดภัยจากการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ

ผมทราบจากพ่อแม่ของแบมและตะวันว่า เวลาของเด็กสาวทั้งสองเหลืออยู่ไม่มากนัก คุณเองจะต้องตัดสินใจว่าจะรับฟังคำขอของเด็กสาวทั้งสองคนหรือจะปล่อยให้ประเทศนี้เป็นอย่างที่มันเคยเป็นมา

คุณจะตัดสินใจอย่างไรก็ได้ผมจะไม่ต่อว่าคุณ เพราะเราอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ผมรู้แต่เพียงว่าถ้าคุณตัดสินใจผิด ความผิดพลาดนี้จะตามหลอกหลอนคุณไปตลอด

กฤษฎางค์ นุตจรัส
5 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 19.47 น.