อานนท์ นำภา
10h
จับกันรายวัน ยื่นประกันรายวัน
กองทุนราษฎรประสงค์
2d
เรื่อง ขอแรงราษฎร
เรียน ราษฎรที่เคารพ
หลังจากการเบิกจ่ายเมื่อวานนี้ (ดังรายงานไว้ด้านล่าง) ขณะนี้ยอดเงินในบัญชีของพวกเราลดลงเหลือเพียงหลักแสน คือ 751,134.36 บาท ซึ่งสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะหมดลงได้ภายในเวลาไม่เกินสองอาทิตย์นี้ เนื่องจากเรายังมีคิวนัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 อีกอย่างน้อย 2 คดี ซึ่งหากศาลลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญา กองทุนฯ จะต้องเตรียมวางประกันประชาชนในคดีราคาแพงนี้เพิ่มอีกในชั้นอุทธรณ์ และยังมีคดีจากการชุมนุมต่างๆ ที่อัยการยังคงทยอยยื่นฟ้องต่อศาลอยู่ไม่ขาดสาย รวมไปถึงกรณีที่อาจมีการจับกุมประชาชนเพิ่มเติมอีกจากสถานการณ์อันไม่อาจคาดหมายได้
และที่สำคัญ เรายังมีประชาชนอีก 12 คนที่ยังถูกคุมขัง ซึ่งเรายังคงหวังและยังคงต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอที่จะได้วางเงินประกันให้พวกเขา
ขณะนี้กองทุนฯ อยู่ระหว่างไล่ตรวจสอบเงินและเร่งขอรับคืนเงินประกันเท่าที่จะพอขอรับคืนได้จากศาลและสถานีตำรวจต่างๆ แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่น่าจะทันต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า จึงจำเป็นต้องขอแรงระดมจากราษฎรอีกครั้ง เพื่อเติมเงินกองทุนของพวกเราให้ยังมีสำรองไว้ในขั้นต่ำ ที่ไม่ควรต่ำกว่า 1 ล้านบาท
จึงเรียนมาเพื่อขอแรงราษฎร
บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาศาลยุติธรรม บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 125-8-64752-8 ชื่อบัญชี กองทุนราษฎรประสงค์โดยมูลนิธิสิทธิอิสรา หรือคิวอาร์โค้ดในภาพที่ 3
#กองทุนราษฎรประสงค์
#ที่พึ่งแรกและที่พึ่งสุดท้ายของราษฎรคือราษฎร
#ให้ทุกบาทของราษฎรคือเสียงสะท้อนของเจตจำนง
—--------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 65 กองทุนราษฎรประสงค์ได้เบิกเงินทั้งสิ้น 275,750 บาทเพื่อเป็นเงินค่าปรับและเงินวางประกัน ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. ที่ศาลแขวงดุสิต เบิกเงิน 75,750 บาท เพื่อชำระค่าปรับพินัยให้แก่นักกิจกรรม 5 คน หลังศาลพิพากษาลงโทษข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.จราจรฯ, กีดขวางทางสาธารณะ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการเข้าร่วมชุมนุม #ม็อบมุ้งมิ้ง หน้ากองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 63 เพื่อตอบโต้คำสบประมาทของอดีตรองโฆษกกองทัพบกว่า การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 เป็น “ม็อบมุ้งมิ้ง” โดยมีการตั้งคำถามต่องบประมาณของกองทัพบก หลังมีข่าวอนุมัติจัดซื้ออาวุธและเครื่องบิน VIP ราคา 1,348 ล้าน
โดยศาลเห็นว่า แม้ว่าจำเลยต่อสู้คดีว่า ในระยะเวลาเกิดเหตุไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แต่กฎหมายต้องถูกบังคับใช้กับผู้ชุมนุมและผู้ปราศรัยที่ไม่จัดให้มีจุดคัดกรอง ไม่มีการเว้นระยะห่างและการจัดเจลแอลกอออล์ล้างมือ นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเวทีกีดขวางทางสาธารณะ และใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลมีคำสั่งปรับในข้อหาบทที่ลงโทษหนักที่สุด กล่าวคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คนละ 20,000 บาท และปรับอีกคนละ 200 บาท ข้อหาใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมปรับคนละ 20,200 บาทแต่ เนื่องจากศาลเห็นว่าจำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้ 1 ใน 4 เหลือปรับคนละ 15,150 บาท รวมปรับ 5 คนเป็นเงินทั้งหมด 75,750 บาท ดังหลักฐานในภาพที่ 4
2. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เบิกเงิน 200,000 บาท เพื่อวางประกัน “อติรุจ” โปรแกรมเมอร์วัย 25 ปี ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่นับสิบรายเข้าจับกุมเพราะเปล่งเสียงว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” ระหว่างที่มีการจัดขบวนต้อนรับกษัตริย์รัชกาลที่ 10 บริเวณหน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 15 ต.ค. 65 หลังถูกจับกุม อติรุจถูกควบคุมตัวไปที่ สน.ลุมพินี พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ม.112 แก่อติรุจ และควบคุมตัวไว้ที่สน.อยู่สองคืน ก่อนนำตัวมาฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันเปิดทำการของศาล
ศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ฝากขังอติรุจเป็นเวลา 12 วัน และให้วางเงินประกัน 200,000 บาท ดังหลักฐานใบเสร็จในภาพที่ 5 พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ
3. นอกจากนี้ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ อัยการได้ยื่นฟ้อง “แม่มานี” และ “จินนี่”ในข้อหาร่วมกันดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี, ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการปราศรัยตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรมและเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้แก่ “บุ้งและใบปอ” ซึ่งขณะนั้นศาลไม่ให้ประกันในคดี 112
คดีนี้กองทุนฯ เคยวางประกันประชาชนทั้งสองคนไว้แล้วในชั้นฝากขังเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 65 เมื่อวานนี้นายประกันได้เดินทางไปต่อสัญญาประกันจากชั้นฝากขังสู่ชั้นพิจารณาคดี ศาลอนุญาตให้ต่อสัญญาประกันโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์เพิ่ม จึงไม่ต้องเบิกเงินประกันในชั้นนี้
ภายหลังจากการเบิกจ่ายข้างต้น ยอดเงินคงเหลือในบัญชีคงหลือเพียง 751,134.36 บาทเท่านั้น ดังหลักฐานในภาพที่ 1
#กองทุนราษฎรประสงค์