วันศุกร์, กันยายน 09, 2565

บันทึกประชุม กรธ. 501 จับโป๊ะ "มีชัย" ปม 8 ปีนายก ‘ชลน่าน’ ชี้ศาลเรียกบันทึก 501 มีหวังคดี 8 ปีประยุทธ์ แถม ‘มีชัย’ ยังเข้าข่ายให้การเท็จด้วย



‘ชลน่าน’ ชี้ศาลเรียกบันทึก 501 มีหวังคดี 8 ปีประยุทธ์ แถม ‘มีชัย’ ยังเข้าข่ายให้การเท็จด้วย



“ฝ่ายค้าน” มีหวังศาลรธน.รับหลักฐานบันทึกการประชุมครั้งที่ 501 พิจารณา หลังมีคำสั่งให้สภาฯ ส่งรายละเอียดเพิ่ม

เมื่อวันที่ 8 กันยายน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สำนักงานเลขาสภาผู้แทนราษฎรส่งบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 501 ไปให้ศาลฯ ภายในวันที่ 13 กันยายนนี้ว่า แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญยังมีข้อสงสัย ในบันทึกการประชุมของกรธ.ครั้งที่ 500 ที่ระบุว่าไม่มีการรับรองบันทึกการประชุม ที่มีความเห็นของกรธ.แต่ละคนในเรื่องการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงความเห็นของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ในขณะนั้นด้วย

ซึ่งในบันทึกการประชุมกรธ.ครั้งที่ 501 ที่ฝ่ายค้าน ได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้รับแจ้งว่า จะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีหลักฐานชัดว่า เป็นการรับรองการประชุมครั้งที่ 500 ที่อนุกรรมการได้พิจารณาตรวจสอบแล้วโดยไม่มีการแก้ไขในบันทึกการประชุมนั้นเลย เท่ากับว่าได้รับความเห็นชอบ จึงถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจน และยิ่งศาลฯสั่งให้ทางสภาฯ ส่งหลักฐานในส่วนนี้ไป ก็จะยิ่งทำให้ฝ่ายค้านมีความหวังว่าศาลฯจะรับเอาพยานเอกสารหลักฐานของฝ่ายค้านที่ยื่นไปเข้าสู่การพิจารณาด้วย เพราะจะเป็นการหักล้างคำชี้แจงของนายมีชัยที่หลุดออกมาและระบุว่านับวาระ 8 ปี จากวันที่ 6 เมษายน 2560 หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ แล้วอ้างบันทึกการประชุมที่เคยบอกให้นับปี 2557 นั้น ไม่ใช่เอกสารสมบูรณ์

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านไม่ได้แย้งไปคือนายมีชัยให้ความเห็นในเรื่องนี้ในฐานะพยานบุคคล ซึ่งศาลฯ ได้สั่งให้นายมีชัย ให้ข้อมูลในฐานะเป็นประธานกรธ. ดังนั้น ต้องเอาความเห็นของตัวเองในขณะที่เป็นประธานในขณะนั้น ซึ่งมีบันทึกไว้เรียบร้อยแล้วให้กับศาลรัฐธรรมนูญไป โดยต้องตอบตามนั้น ซึ่งเป็นความเห็นที่ย้อนแย้งกัน จึงเห็นว่าบันทึกของนายมีชัยที่หลุดออกมาในสังคมออนไลน์เป็นเรื่องที่เข้าทางฝ่ายค้าน และเป็นประโยชน์กับการพิจารณาในมุมของฝ่ายค้านเพราะไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ คือมีน้ำหนักไม่พอเพียงหรือขาดความน่าเชื่อถือ และยังเข้าข่ายให้การต่อศาลเป็นเท็จด้วย

ที่มา มติชนออนไลน์
8 กันยายน 2565