วันอังคาร, กรกฎาคม 12, 2565

ยุทธศาสตร์ชาติไทย "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ลอกมาจากไหน?


Kamthon Tongkundum
May 15, 2020

ยุทธศาสตร์ชาติไทย ลอกมาจากไหน?
: กรณีขึ้นค่าตอบแทนกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) เป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกของประเทศไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้องนําไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” ภายในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อความสุขของคนไทยทุกคน
วิสัยทัศน์ประเทศไทย … “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคติพจน์ประจําชาติว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
นี่เป็นแก่นแกนของยุทธศาสตร์ไทยที่สรุปเคี่ยวข้นมาแล้ว หาดูได้ตามเอกสารของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือเอกสารในอินเตอร์เน็ต ปัญหามีอยู่ว่า หลายคนได้แต่ท่องตามเขาว่า "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" แต่ไม่รู้ว่ายุทธศาสตร์ไทยนั้นมีที่มาจากไหน?
เอาเป็นว่า ถ้าไม่รู้ว่ายุทธศาสตร์ไทยมาจากไหน โปรดอ่านนิทานเรื่องต่อไปนี้ก่อน เรื่องมันเท้าความไปยาวมาก ก่อนจะรู้และเข้าใจยุทธศาสตร์ไทย ต้องไปเรียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก่อน..อิอิ
จุดเดิมเริ่มแรกของประเทศญี่ปุ่นนั้น เขาเล่ากัน(เป็นนิทานว่า) จักรพรรดิ์องค์แรกของประเทศญี่ปุ่นนั้น ชื่อว่าจักรพรรดิ์จิมมูหรือจิมมูเท็นโน 神武天皇, Jinmu-tennō ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อ 660 ปีก่อนคริสตศักราช
(ตามนิทานอีกนั่นแหละเขาเล่ากันว่า)จักรพรรดิ์จิมมูนั้น แกไม่ธรรมดา เพราะแกสืบเชื้อสายมาจากเทวดา คือสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ คือเทวดาแห่งพระอาทิตย์ คือนิทานจะเล่าเอาอย่างไรก็ได้ เพราะญี่ปุ่นนั้นเขาถือว่าว่าเขาเป็นดินแดนแห่งพระอาทิตย์ขึ้น คนญี่ปุ่นเห็นพระอาทิตย์ก่อน สุริยะเทพจึงสำคัญ เมื่อสุริยะเทพสำคัญ จักรพรรดิ์จิมมูจึงสำคัญ แกไม่ใช่คนแต่เป็นเทพเป็น god สืบเชื้อสายมาจากเทพแห่งตะวันหรือสุริยะเทพ..ว่างั้น
จิมมูเป็นจักรพรรดิ์องค์แรกของญี่ปุ่น ต่อมาบ้านเมืองขยายตัวใหญ่โต มีคนมากขึ้น พอคนมากขึ้นปัญหามันก็มากขึ้น เนื่องจากคนญี่ปุ่นนั้นอยู่ห่างไกลกัน ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน เพื่อพิสูจน์ว่าใครใหญ่กว่ากัน มันก็ต้องรบกัน ก็ยกพวกไปรบกัน เพื่อพิสูจน์ว่าใครใหญ่กว่ากัน ก็รบพุ่งกันทุกที่ จักรพรรดิ์รุ่นต่อ ๆ มาก็ไม่สามารถรวบรวบอำนาจไว้ที่ตัวเองได้ ปล่อยให้ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นใหญ่
ที่ว่าตั้งตัวเป็นใหญ่นั้น หมายถึงใหญ่ในถิ่นเอง เมืองนี้ข้าใหญ่ เมืองโน้นคนอื่นเป็นใหญ่ ก็แข่งอำนาจแข่งกันไปกันมา แต่ไม่มีใครเป็นใหญ่จริง ๆ สักคน เพราะเป็นเพียงนักเลงใหญ่ในพื้นที่ จักรพรรดิ์ก็ใหญ่ ใหญ่เพราะไม่มีใครมาเทียบรัศมีเพราะไอ้พวกนั้นไม่มีนิทานมาหนุนหลัง แต่จักรพรรดิ์ก็ไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาด เพราะในภาพรวมจักรพรรดิ์เป็นใหญ่ เป็นใหญ่แต่ในชื่อ แต่ในท้องถิ่นต่าง ๆ นักเลงเจ้าถิ่นเป็นใหญ่ ..ว่างั้น
ไปดูโครงสร้างของสังคมญี่ปุ่นในสมัยนั้น จักรพรรดิ์เป็นใหญ่อยู่บนเพื่อน รองลงมาคือท่านโชกุน ซึ่งเป็นผู้นำทางทหารตัวจริง รองลงมาจากโชกุนก็เป็นไดเมียวเจ้าเมือง รองลงไปก็เป็นนักรบท่ี่ชื่อว่าซามูไร ซามูไรเป็นชนชั้นนักรบ
สมัยแรก ๆ ที่รบกันนั้น เครื่องมือในการรบก็ไม่มีอะไร มีหอกมีดาบ ก็ขี่ม้าพาหอกพาดาบไปทิ่มแทงกัน ใครไม่ตายก็ชนะไป
จำเนียรกาลผ่านมา โลกและบ้านเมืองมีความเปลี่ยนแปลง ในโลกตะวันตกเขามีการประดิษฐ์ปืนไฟได้เป็นผลสำเร็จ ชาวต่างชาติได้นำปืนไฟมาขายที่ญี่ปุ่นด้วย ปืนไฟมันได้เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ในสงคราม สมัยก่อนคนที่จะเป็นซามูไรได้ต้องตัวใหญ่ แข็งแรง รบเก่ง ใจถึง เพราะเวลารบต้องฟันต้องแทงกันต่อหน้า ใจไม่ถึงใจไม่แกร่ง รบกันไม่ได้
พอมีปืนแพร่หลายมา การรบทำได้ง่ายขึ้น เพียงแต่มีปืน เด็กก็สู้ผู้ใหญ่ได้ คนตัวเล็กสู้คนตัวใหญ่ได้ ใครมีปืนจะได้เปรียบคนมีดาบ ใครมีปืนมากมีทหารมาก ยิ่งได้เร็ว ก็เอาชนะคนอื่นได้ไม่ยาก
พอปืนไฟเข้ามาแพร่หลายในญี่ปุ่น จากเดิมที่เคยตั้งตัวเป็นใหญ่กันอยู่หลายกลุ่มแยกย้ายกันเป็นใหญ่ ก็เกิดสงครามต่อสู้กัน กลุ่มเล็ก ๆ ถูกปราบ รบแพ้ ล้มตายหายไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม ผู้ชนะก็ขยายอาณาเขตกว้างออกไปเรื่อย ๆ คือการมีปืนไฟมันทำให้กลุ่มใหญ่ที่มีปืนดี ๆ ที่เข้มแข็งสามารถปราบกลุ่มเล็ก ๆ ให้ล้มหายจากแล้วขยายอาณาเขตกว้างออกไปเรื่อย ๆ
โชกุนที่มีชื่อเสียงในการปราบปรามกลุ่มต่าง ๆ และรวมรวมแว่นแคว้นขยายอาณาเขตให้กว้างขึ้นนั้น คนแรกคือโชกุน Oda Nobunaga ภาษาไทยว่าโอดะ โนบุนาหงะ พอโนบุนาหงะตาย ก็มีโชกุน Toyotomi Hideyoshi ฮิเดโยชิมารบรวบรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พอฮิเดโยชิตาย ก็ถึงคราวของโชกุน Tokugawa Ieyasu โตกุกาวา อิเอยาสึ มารวบรวมแผ่นดินต่อ เล่ากันว่าโชกุนโตกุกาวา สามารถรบเอาชนะรวบรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ ได้มากที่สุด และมีอิทธิพลมากที่สุด
เขาเล่ากันในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เขาว่าสามโชกุนสามสไตล์ โชกุนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนนั้นมีนิสัยใจคอ มีท่วงทำนองในการรบการปกครองที่แตกต่างกัน คนละบุคลิกเลย เขาตั้งปัญหาว่า "ถ้านกไม่ส่งเสียงร้อง จะทำอย่างไร?"..อิิอิ
โชกุนโนบุนาหงะแกเป็นคนห้าว มะทุลุ แกว่า "นกตัวไหนไม่ร้อง ฉันจะฆ่ามัน..ว่าไปนั้น แกห้าวมีอำนาจ แถมมุทะลุ ใครขัดใจแกไม่ยอม ก็ต้องฆ่ากัน
ส่วนโชกุนฮิเดโยชินั้น แกว่า "ถ้านกไม่ร้องเพลง ฉันจะสอนให้มันร้องเพลง" อันนี้ใจเย็น รู้จักเอาใจคน ไม่บุ่มบ่าม
ส่วนโชกุนอิเอยาสึนั้น แกว่า "ถ้านกไม่ร้องเพลง ฉันจะรอให้มันร้องเพลง" อันนี้ใจเย็น รู้จักการรอคอยจังหวะ มึงไม่มีอารมณ์ตอนนี้ก็ไม่ต้องร้อง อยากจะร้องตอนไหนก็ร้อง กูรอได้..ว่างั้น
ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้นตระกูลโตกุกาวะ ครองอำนาจมาอย่างยาวนานที่สุดคือจากปี ค.ศ.1600–1868 รวม 268 ปี
เขาเปรียบเทียบว่าโชกุนโนบุนาหงะนั้นเป็นคนปลูกข้าวเกี่ยวข้าว โชกุนฮิเดโยชิเป็นคนหุงข้าว แต่คนได้กินข้าวอย่างยาวนานนั้นคือตระกูลโตกุกาวา พระจักรพรรดิ์นั้นมีนิทานเป็นของตัวเอง แต่เป็นหุ่นเชิด ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง..ว่างั้น
ทีนี้ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่มีชาวตะวันตกมาค้าขายนั้น ผู้ปกครองญี่ปุ่นคือตระกูลโตกุกาวานั้น เขาเล็งเห็นว่าถ้าปล่อยให้ชาวตะวันตกมาค้าขายได้อย่างเสรีนั้น ไอ้พวกตะวันตกจะพาปืนมา จะพาเอาศาสนาคริสต์มาเผยแพร่ จะมาเที่ยวยุยงหรือสนับสนุนให้คนญี่ปุ่นรบกัน เขาเลยปิดประเทศห้ามชาวต่างประเทศมาค้าขายเที่ยวเดินเพ่นพ่านในญี่ปุ่น
แต่การปิดประเทศนี้ ไม่ได้ปิดทั้งหมด ยังคงเหลือให้ติดต่อค้าขายกับบางประเทศ ประเทศที่ญี่ปุ่นยอมค้าขายด้วยคือพวกดัชต์ โดยญี่ปุ่นให้พวกดัชต์มาตั้งบ้านเรือนและสถานีค้าขายที่เกาะ Dejima ที่เมืองนางาซากิ เดจิมาเป็นเกาะเทียมที่สร้างขึ้น มีพื้นที่เพียง 2.2 เอเคอร์หรือ 9,000 ตารางเมตร หรือเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่เท่านั้นเอง..อิอิ
สาเหตุที่ผู้ปกครองญี่ปุ่นไว้ใจพวกดัชต์คือฝรั่งพวกอื่นพอมาค้าขาย ก็มาเซ้าซี้มาชักชวนให้คนญี่ปุ่นเปลี่ยนศาสนา อันนี้มันไปกระทบความมั่นคงของญี่ปุ่น เขาถึงไม่ชอบ แต่พวกดัชต์นั้นเป็นพวกที่ไม่ยุ่งเรื่องการเผยแพร่ศาสนามาก ดัชต์ไม่สนใจเรื่องเผยแพร่ศาสนา ดัชต์สนใจเรื่องการค้าขายหาประโยชน์ เอาแต่เงินเอาแต่เบี้ย หาแต่เงิน ญี่ปุ่นเขาจึงไม่รังเกียจ..ว่างั้น
การยอมให้พวกดัชต์มาตั้งสถานีค้าขาย เป็นผลดีกับญี่ปุ่น เพราะดัชต์ในยุคนั้นมีความเจริญมาก ญี่ปุ่นเขาเรียนรู้จากดัชต์ เขาเรียกว่า Rangaku (Kyūjitai: 蘭學/Shinjitai: 蘭学แปลว่า การเรียนรู้จากดัชต์หรือการเรียนรู้จากตะวันตก "Dutch learning", "Western learning" ญี่ปุ่นเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การแพทย์และสรรพวิทยาการจากพวกดัชต์ ถ้าดัชต์มีหนังสือดี ๆ มา โชกุนจะสั่งให้เอาไปแปลเพื่อพิมพ์เผยแพร่ ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเรียนรู้วิทยาการตะวันตกได้อย่างรวดเร็ว การปิดประเทศไม่ได้ปิดทั้งหมด ยังแง้มบานหน้าต่างไว้รับวิทยาการทันสมัยจากตะวันตก นี่เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
(สมัยนั้น ดัชต์มาค้าขายที่อยุธยาเหมือนกัน แต่อย่างว่า นิสัยใจคอของผู้ปกครองรัฐและคนไทย ไม่ค่อยสนใจอะไร เราจึงไม่ได้อะไรเท่าใด ผ่านมาก็ผ่านไป พี่ไทยเราชอบแบบเดิม ๆ ไม่เหมือนญี่ปุ่น..อิอิ)
ต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกาสนใจจะค้าขายกับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นปิดประเทศไม่ยอมค้าขายด้วย อเมริกาจึงส่งนายพลจัตวา Matthew C. Perry มาเจรจาขอเปิดประเทศค้าขาย อเมริกาเขาเรียกนโยบายนี้ว่า gunboat diplomacy เพอร์รี่ก็เดินทางมาญี่ปุ่น มายื่นคำขอ คำขู่และคำขาดว่า มาขอเปิดประเทศค้าขาย ขอกันแบบดี ๆ ปีหน้าจะมาฟังคำตอบ ให้เวลาคิดหนึ่งปี ก่อนจะกลับแกก็สั่งให้ปืนเรือยิงปืนใหญ่ฉลองวันชาติอเมริกา - ความจริงก็คือการยิงข่มขู่นั่นแหละ ขอกันดี ๆ ถ้าไม่ยอมเปิดประเทศ จะเจอของแข็งแบบนี้..อิอิ
เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง ตระกูลโตกุกาวาที่ปกครองญี่ปุ่นตกใจตาเหลือก ขืนไม่เปิดซวยแน่ ในตอนนั้นในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายอนุรักษ์บอกว่าไม่เปิด ยอมสู้ตาย พวกหัวปฏิรูปบอกว่าถ้าไม่ยอมพังแน่ ก็ทะเลาะกันรบกันเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายพอรุ่งปี พลจัตวาแมททิวเพอร์รี่มาฟังคำตอบ ญี่ปุ่นยอมเปิดประเทศแต่โดยดี
พวกหัวปฏิรูปพวกหัวก้าวหน้าเห็นว่า ในภาวะที่ต่างชาติเข้ามาค้าขายเข้ามามีอิทธิพลในประเทศญี่ปุ่นแบบนี้ การปล่อยให้โชกุนตระกูลโตกุกาวาปกครองต่อไป เห็นจะไม่ดีแน่ ตระกูลอื่น ๆ จึงคบคิดกันกับพวกก้าวหน้ารวบอำนาจในการปกครองประเทศเอาไปถวายคืนจักรพรรดิ์เมจิ เรียกว่า Meiji restoration มีการปลดและริบทรัพย์ตระกูลโตกุกาวา ปลดโชกุนโยชิโนบุ โตกุกาวา และทำสงครามปราบปรามพวกที่ไม่ยอม ท้ายที่สุดก็รวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ถวายคืนอำนาจให้พระจักรพรรดิ์เมจิ เขาเรียกยุคนี้ว่า Meiji Restoration, Meiji Renovation, Meiji Revolution, Meiji Reform หรือ Meiji Renewal แล้วแต่จะเรียก
พอจักรพรรดิ์เมจิขึ้นมามีอำนาจ ความจริงจักรพรรดิ์ไม่ได้ใช้อำนาจเอง ไอ้พวกที่แอบอยู่ข้างหลัง พวกนี้แหละที่เป็นผู้ใช้อำนาจที่แท้จริง เพราะคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังการไปเอาตระกูลอื่นมาล้มตระกูลโตกุกาวานั้น เป็นซามูไรชั้นต่ำที่มีหัวก้าวหน้า พี่แกชื่อ Sakamoto Ryōma ซากาโมโต เรียวมะ การถวายคืนอำนาจให้พระจักรพรรดิ์ ที่จริงแล้วคือแผนการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยมีกลุ่มคนรุ่นใหม่หัวใหม่มาบริหารอำนาจแทนพระจักรพรรดิ์นั่นเอง
อีตาอดีตซามูไรชื่อเรียวมะ แกว่า ถ้าจะให้ญี่ปุ่นไปตลอดรอดฝั่ง ต้องมีประชาธิปไตย ต้องมีลัทธิชาตินิยม ต้องยกเลิกระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ต้องยกเลิกระบบชนชั้น ต้องล้มเลิกโชกุน ต้องรวบอำนาจมาอยู่ที่พระจักรพรรดิ์เมจิเพียงคนเดียว ต้องทำประเทศญี่ปุ่นให้ทันสมัย(modernization) ต้องให้มีการสร้างโรงงานและระบบอุตสาหกรรม (industrialization) ต้องพัฒนาให้เป็นแบบโลกตะวันตก(westernization)
นี่คือการปฏิรูปเมจิ จุดหนักของการปฏิรูปเมจิคือรวบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ไม่ให้ต่างคนต่างใหญ่ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างทำ เปิดประเทศรับความก้าวหน้า ทำประเทศให้ทันสมัย ส่งเสริมและเน้นหนักในการทำอุตสาหกรรม..ว่ากันอย่างนั้น
(ไทยเราก็อ้างเหมือนกันว่า เราปฏิรูปประเทศพร้อมกับญี่ปุ่นในสมัยจักรพรรดิ์เมจิ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก มีแต่รวบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางและซื้อหัวจักรรถไฟ ซื้อสินค้าทันสมัยอะไรต่าง ๆ แต่ไม่ได้ผลิตเอง ไม่ได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมอะไร เอาเข้าจริงไม่ได้ปฏิรูปอะไรมากนัก..ว่างั้น)
ในยุคสมัย(พระจักรพรรดิ์)เมจิ นี่แหละ ญี่ปุ่นเข้ามีเข็มมุ่ง มียุทธศาสตร์อันหนึ่งที่เรียกว่า Fukoku kyōhei (富國強兵) อันนี้เขาลอกมาจากของจีนอีกที คำนี้แปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง" เป้าหมายคือทำให้ประเทศญี่ปุ่นก้าวหน้าและเข้มแข็งทัดเทียมกับประเทศตะวันตกที่เจริญแล้ว โดยเน้นหนักการสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรม คำหลักคือ Modernization และ Industrialization มีแต่การทำอุตสาหกรรมเท่านั้นที่ทำให้ญี่ปุ่น ก้าวทัน ก้าวหน้า ทันสมัย
รัฐบาลญี่ปุ่นเขาเอาอย่างนี้ อุตสาหกรรมไหนที่สำคัญ อันไหนรัฐบาลไม่รู้ทำไม่ได้ ก็จ้างที่ปรึกษาฝรั่ง สมัยเมจิมีการจ้างผู้เชี่ยวชาญฝรั่งถึง 3,000 คน ชาวบ้านยังทำไม่ได้ทำไม่เป็นรัฐบาลเอามาทำให้ดูก่อน แล้วขายให้ชาวบ้านไปทำต่อ วิธีนี้รัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มในตอนแรกและให้ชาวบ้านไปทำในตอนหลัง
ด้วยวิธีการนี้ ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของญีึ่ปุ่นเช่นการทอผ้า เหล็ก การต่อเรือ มีความก้าวหน้ามากขึ้น เกิดมีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่(zaibatsu) เช่นกลุ่มบริษัท Mitsui และบริษัท Mitsubishi ฯลฯ
นอกจากการพัฒนาประเทศด้วยการทำให้ทันสมัย (modernization)และเน้นหนักการพัฒนาอุตสาหกรรม (industrialization)แล้ว ในยุคจักรพรรดิ์เมจิยังมีการปฏิรูปทางการเมืองให้ก้าวหน้าอีกด้วย ในปี ค.ศ.1889(หรือ พ.ศ.2432) มีการใช้รัฐธรรมนูญเมจิ รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐสภาประกอบด้วยสภาสูงซึ่งมาจากการแต่งตั้งพระญาติพระวงศ์และสภาผู้แทนซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
น่าสังเกตว่า พระจักรพรรดิ์เมจิแก "พระราชทานประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง"ให้ประชาชน โดยที่ประชาชนไม่ได้ร้องขอหรือต้องใช้กำลังไปแย่งยึดมา อย่างไรก็ตามในรัฐธรรมนูญเมจินั้น พระจักรพรรดิ์ยังมีอำนาจอยู่มาก เช่น ในรัฐธรรมนูญเมจิในมาตรา 3 บัญญัติว่า ARTICLE III. The Emperor is sacred and inviolable. พระจักรพรรดิ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งต่อมาประเทศไทยก็ลอกมาตรานี้มาเป็นรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2475 มาตรา 3 เพียงแต่เปลี่ยนคำเป็น "พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" อันนี้ไทยลอกญี่ปุ่นมา และแม้ปัจจุบันรัฐธรรมนูญเมจิต้นฉบับจะเลิกไปแล้ว แต่ของไทยธรรมเนียมนี้ ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ในมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญเมจิ ได้บัญญัติว่า ARTICLE XI. The Emperor has the supreme command of the Army and Navy. พระจักรพรรดิ์ทรงเป็นจอมทัพบัญชาการกองทัพบกและกองทัพเรือ กองทัพไม่อยู่ในความควบคุมของรัฐบาล แต่พระจักรพรรดิ์ลงมาควบคุมเองเลย..ว่างั้น
มาตรานี้พี่ไทยก็ลอกมา ลอกมาครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 เป็นมาตรา 5 "พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสยาม" และแม้ปัจจุบันรัฐธรรมนูญเมจิจะเลิกไปแล้ว แต่ของไทยยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
แสดงว่าญี่ปุ่นในยุคพระจักรพรรดิ์เมจินั้น เขาปฏิรูปอย่างรอบด้านทั้งในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการเมือง ว่ากันว่าในยุคพระจักรพรรดิ์เมจินั้น ญี่ปุ่นมีประชากร 30 ล้านคน ใน 30 ล้านคนนี้ มีคนอ่านออกเขียนได้ 2 ล้านคน ซึ่งส่วนมากเป็นพวกซามูไรทั้งบู๊และบุ๋น ส่วนพี่ไทยในยุคนั้นเรามีประชากรเพียง 5 ล้านคน หนึ่งในสามของคนไทย ยังเป็นทาสอยู่..ว่างั้น
เมื่อญี่ปุ่นได้พัฒนาอุตสาหกรรมให้เข้มแข็งและทำประเทศให้ก้าวหน้าทันสมัยนั้น กองทัพญี่ปุ่นก็เข้มแข็งมากขึ้น สมัยนั้นรัสเซียขยายอิทธิพลเข้ามาในเกาหลีและแมนจูเรีย ญี่ปุ่นไม่ยอมจึงเกิดสงคราม Russo-Japanese War ในปี 1904 - 1905 ญี่ปุ่นเข้าโจมตี Port Arthur สามารถรบเอาชนะรัสเซียได้ นับเป็นชาติแรกในเอเซียที่สามารถรบเอาชนะฝรั่งผิวขาวได้ นับว่าการปฏิรูปประเทศในยุคพระจักรพรรดิ์เมจิทำให้ญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม ประเทศทันสมัย สามารถรบเอาชนะฝรั่งผิวขาว ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลกได้..ว่างั้น
วงจรของญี่ปุ่นเป็นดังนี้ อุตสาหกรรมก้าวหน้า + ประเทศทันสมัย ทำให้การทหารเข้มแข็ง เมื่อการทหารเข้มแข็ง สามารถใช้กำลังทางทหารเพื่อรุกรานไปหาผลประโยชน์และเพื่อป้องกันผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้
ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมสงครามกับอังกฤษ ฝรั่งเศสและอเมริกา เพื่อต่อสู้กับเยอรมัน ญี่ปุ่นได้เข้ายึดเขตเช่าของเยอรมันในประเทศจีน เมื่อจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ชนะและมีอิทธิพลในเวทีการเมืองโลกมากขึ้น ญี่ปุ่นเคยได้ที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงของสันนิบาตชาติ เป็นชาติแรกและชาติเดียวในเอเชียที่ได้รับเกียรตินี้จากชาติตะวันตก
ห้วงเวลาดังกล่าวเป็นขาขึ้นของประเทศญ๊่ปุ่น อุตสาหกรรมกรรมเข้มแข็ง เศรษฐกิจดี การทหารเข้มแข็ง ญี่ปุ่นมีอำนาจและเกียรติภูมิในเวทีโลก เป็นผลมาจาการใช้แนวคิดหรือหลักการ Fukoku kyōhei (富國強兵) ซึ่งแปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง"
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ญี่ปุ่นได้รุกรานเข้าไปในแมนจูเรียและบุกรุกเข้าไปในประเทศจีน ในตอนนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นลัทธิทหารเต็มตัว พระจักรพรรดิ์เป็นใหญ่แต่เพียงในนาม คนที่เป็นใหญ่จริง ๆ คือคณะทหารที่อยู่เบื้องหลังพระจักรพรรดิ์ เวลาทหารอยากทำอะไร ก็จะอ้างว่า"พระจักรพรรดิ์ต้องการ" คืออ้างเอาพระจักรพรรดิ์บังหน้า พระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเป็นฉากบังหน้าให้ทหารเท่านั้นเอง
ควบคู่ไปกับทหาร กลุ่มธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ที่เรียกว่าไซบัตสึ zaibatsu) เช่นกลุ่มบริษัท Mitsui และบริษัท Mitsubishi ฯลฯ ทหารจะเอาเรือรบ เครื่องบินรบก็ไปจ้างบริษัทใหญ่ ๆ ที่ผูกขาดเหล่านี้ การจัดซื้อเรือรบเครื่องบินรบ ยุทโธปกรณ์ ก็จัดซื้อจัดจ้างกันอย่างเร่งด่วน จัดซื้อกันแบบวิธีพิเศษ ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ เหล่านี้มีกำไรดี สงครามทำกำไรให้ธุรกิจใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่นมีกำไรดี..ว่างั้น
พอทหารญี่ปุ่นเข้มแข็ง ก็เที่ยวรุกรานหาเมืองขึ้นไปทั่ว เพื่อเข้าไปหาวัตถุดิบมาให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็เอาเมืองขึ้นนั้นเป็นตลาดเป็นที่ระบายสินค้าญี่ปุ่น นักธุรกิจผูกขาดของญี่ปุ่นกับทหารญี่ปุ่นจึงมีผลประโยชน์ร่วมกัน..ว่างั้น
คนญี่ปุ่นเขาเชื่อฟังเคารพศรัทธาพระจักรพรรดิ์มาก เผด็จการทหารญ๊่ปุ่นเขาเข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดี เวลาทหารญี่ปุ่นในยุคนั้นอยากได้อะไร ก็อ้างว่าเป็นพระประสงค์ของพระจักรพรรดิ์ อะไร ๆ ก็อ้างพระจักรพรรดิ์ เอาพระจักรพรรดิ์มาอ้างเพื่อหาประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่บางครั้งพระจักรพรรดิ์ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร..ว่างั้น
ญี่ปุ่นเที่ยวบุกประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน เกาหลี เพื่อเอามาเป็นเมืองขึ้น บุกไปบุกมาไปขัดผลประโยชน์กับประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา ท้ายที่สุดก็ถูกอเมริกาบีบโดยไม่ส่งน้ำมันให้ ทำให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่นมีปัญหา สุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นจึงเข้าเป็นพวกเดียวกับเยอรมันอิตาลี ญี่ปุ่นเข้าโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ของอเมริกา และเข้ายึดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเคยเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศส แรก ๆ ญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายรุกไล่อเมริกา อังกฤษฝรั่งเศส เพราะทางอังกฤษ ฝรั่งเศสกำลังติดพันต่อสู้กับเยอรมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
(ความจริงเมื่ออเมริกาเขาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น แม้อเมริกาได้รับความเสียหายอย่างมากจากการถูกโจมตีที่เพิร์ลฮาเบอร์ ผู้นำอเมริกาเขาประเมินว่าจะเอาชนะญี่ปุ่นได้หรือไม่ เขาดูจากความสามารถในการผลิตเหล็กกล้า ได้ข้อสรุปว่า ในจำนวนเท่ากัน อเมริกาผลิตเหล็กกล้าเพียงหนึ่งปี แต่ญี่ปุ่นต้องใช้เวลายี่สิบปี ความสามารถในการผลิตเหล็กกล้าระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นห่างกันยี่สิบเท่า อเมริกาเขารู้ว่าต้องชนะแน่ เพราะเขามีพลังทางอุตสาหกรรมมากกว่า..ว่างั้น)
พอพันธมิตรอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซียเอาชนะเยอรมันและอิตาลีได้อย่างเด็ดขาดในยุโรป ก็ถึงเวลาที่อเมริกาจะรุกรบเอาคืนจากญี่ปุ่น ด้วยความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและการทหาร อเมริกาสามารถรุกรบทั้งทางบกและทางทะเล เข้าโจมตีรุกไล่ญี่ปุ่นมากขึ้นตามลำดับ ญี่ปุ่นแทบเข้าตาจน ต้องเสียพื้นที่ไปทีละส่วน ๆ เรือรบเรือขนส่งทางทหารถูกอเมริกายิงจมไม่เว้นแต่ละวัน แถมส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดเมืองท่าเมืองอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเสียหายย่อยยับ
ญี่ปุ่นต้องแก้เกมโดยตั้งกองบินพลีชีพหรือกามิกาเซ่ เอาเครื่องบินรบติดระเบิดขับเข้าพุ่งชนเรือรบหรือเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกา (เขาเล่ากันว่า)ญี่ปุ่นหลอกทหารว่า เราญี่ปุ่นเป็นลูกพระจักรพรรดิ์ ลูกพระอาทิตย์ ไม่้ต้องกลัว ถึงตายไปเจ็ดวันเกิดใหม่ได้ อะไร ๆ ก็อ้างพระจักรพรรดิ์มาหากิน..ว่างั้น
แต่ในที่สุด เมื่ออเมริกาซึ่งมีแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าเข้าโจมตีญี่ปุ่น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นที่ทหารอ้างว่าศักดิ์สิทธิ์มากนั้น ช่วยอะไรญี่ปุ่นไมได้เลย เมื่ออเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลงที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ในที่สุดญี่ปุ่นต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข พระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตประกาศยอมแพ้ทางวิทยุและขอร้องให้ชาวญี่ปุ่น"อดทนในสิ่งที่แทบทนไม่ได้ enduring the unendurable and suffering what is unsufferable."...ว่างั้น
แนวคิดหรือหลักการ Fukoku kyōhei (富國強兵) ซึ่งแปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง" ที่เคยทำให้ญี่ปุ่นก้าวหน้า เข้มแข็ง ยิ่งใหญ่ แต่ว่าด้วยเผด็จการทหารและการผูกขาดของธุรกิจผูกขาดของทุนขนาดใหญ่หรือไซบัตสึ ที่เล่นกันเลยเถิด บัดนี้ทำให้บ้านเมืองพินาศ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดิ่งเหวและการทหารฉิบหายย่อยยับ แนวคิดนี้ดีในตอนต้น รุ่งเรืองในตอนกลางและพินาศในตอนจบ..ว่างั้น
พอญี่ปุ่นแพ้ สหรัฐอเมริกาก็ส่งนายพลแมคอาเธอร์เข้ามาเป็นผู้บัญชาการยึดครองญี่ปุ่น อเมริกาเขาทำลายทุนผูกขาดไซบัสสึ มีการจับนายทหารใหญ่เช่นนายพลโตโจและคนอื่น ๆ ขึ้นศาลอาชญากรสงคราม จับไปแขวนคอตายหมด ทีแรกมีคนเสนอให้จับพระจักรพรรดิ์ไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามด้วย แต่นายพลแม็คอาเธอร์คัดค้านไว้
แม็คอาเธอร์แกศึกษาจนรู้แจ้งแทงตลอด แกรู้ว่าพระจักรพรรดิ์ไม่ได้ชั่วร้ายอะไร สิ่งที่พระจักรพรรดิ์มีคือความเชื่อถือความนับถือของประชาชน ประชาชนเชื่อว่าพระจักรพรรดิ์เป็นเทพ(god)อันศักดิ์สิทธิ์ พอประชาชนเชื่ออย่างนี้ ทหารและทุนผูกขาดก็เอาความเชื่อนี้ไปหลอกไปบังคับคน อ้างว่าพระจักรพรรดิ์ต้องการนู่นต้องการนี่ อ้างไปเรื่อย เอาพระจักรพรรดิ์มาทำมาหากิน เอาไปสร้างสงครามรุกราน แท้จริงก็คืออยากสร้างความยิ่งใหญ่มั่งคั่งส่วนตัว พระจักรพรรดิ์ไม่รู้เรื่อง..ว่างั้น
แม็คอาเธอร์ให้เหตุผลว่า การไม่เอาเรื่องกับพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต จะเป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ ชาวญี่ปุ่นยังเชื่อฟังพระจักรพรรดิ์ ถ้าขืนยังดึงดันจะเอาพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตขึ้นศาล เกิดคนญี่ปุ่นโมโหลุกฮือขึ้นมา จะเอาทหารที่ไหนไปปราบ ให้จักรพรรดิ์คอยห้ามปรามประชาชน แล้วแม็คอาเธอร์คอยชักไยอยู่เบื้องหลัง เท่านี้ก็คุมได้ทั้งพระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตและคุมคนญี่ปุ่นได้ด้วย แม็คอาเธอร์แกเป็นนักการทหารที่ฉลาด แกเข้าใจเล่น..อิอิ
แต่เท่านี้ไม่พอนะ แม็คอาเธอร์เขาจะเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นให้เลิกเชื่อว่าพระจักรพรรดิ์เป็น god เป็นเทพ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เจรจากันลับ ๆ
ในวันที่ 1 มกราคม 1946 พระจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโตได้ออกมาประกาศถ้อยคำที่เขาเรียกกันว่า "Ningen-sengen" หรือประกาศความเป็นมนุษย์ เนื้อความว่า ฉัน(พระจักรพรรดิ์)ไม่ได้เป็นเทพเป็นทวยอะไรหรอก ฉันเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิวิเศษแต่ประการใด อันนี้เป็นการเลี้ยวกลับลำ 180 องศาเลยทีเดียว
เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นเที่ยวเอาพระจักรพรรดิ์มาอ้าง แล้วสร้างลัทธิชาตินิยม สร้างลัทธิทางทหารไปรุกรานคนอื่น อเมริกาเขาจึงยกเลิกรัฐธรรมนูญเมจิที่อ้างว่า พระจักรพรรดิ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ เลิกการให้พระจักรพรรดิ์เป็นจอมทัพญี่ปุ่น เขาสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ของญี่ปุ่น เรียกว่า รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ค.ศ.1946 โดยรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้
มาตรา 1 ให้พระจักรพรรดิ์เป็นเพียงสัญญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระจักรพรรดิ์ได้อำนาจมาจากประชาชน(คือยอมรับว่าประชาชนเป็นใหญ่ ในรัฐธรรมนูญเดิมพระจักรพรรดิ์ได้อำนาจมาจากเทพจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
มาตรา 4 พระจักรพรรดิ์จะทำอะไรก็ต่อเมื่อได้รับอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น อะไรไม่มีในรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ห้ามทำ ห้ามพระจักรพรรดิ์ไปยุ่งกับกิจการและการทำงานของรัฐบาล
มาตรา 8 พระจักรพรรดิ์จะให้ข้าวของเงินทองแก่ใคร มิได้ และห้ามพระจักรพรรดิ์รับข้าวของเงินทองจากใคร ถ้าสภาผู้แทนไม่อนุญาต (อันนี้้ห้ามพระจักรพรรดิ์ไปสร้างบารมีแข่งกับรัฐบาล)
มาตรา 9 เพื่อป้องกันญี่ปุ่นไปเที่ยวใช้กำลังทหารรุกรานเพื่อนบ้านเหมือนในอดีต จึงให้เลิกกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ให้มีแต่กองกำลังป้องกันตนเองเท่านั้น
อเมริกาเข้ามายึดครองญี่ปุ่น ปัจจุบันญี่ปุ่นทำสัญญาให้อเมริกาเข้าตั้งฐานทัพในญี่ปุ่นหลายแห่งที่สำคัญคือ ที่เกาะโอกินาวาและชานกรุงโตเกียว
ญี่ปุ่นยอมแพ้อเมริกาในปี 1945 พอรัฐธรรมนูญใหม่ของญี่ปุ่นออกมาในปี 1946 ญี่ปุ่นห้ามมีกองทัพบก เรืออากาศ ญี่ปุ่นไม่ต้องใช้จ่ายงบประมาณทางทหาร ตั้งหน้าทำมาหากิน ผลิตสินค้า ค้าขายเพียงอย่างเดียว ในด้านความมั่นคง ญี่ปุ่นไปอยู่ภายใต้ร่มแห่งความมั่นคง(security umbrella) ของอเมริกา ได้รับความปลอดภัย ไม่ต้องจ่ายเงินเอง คอยแต่ทำมาหากิน ค้าขายหาเงินอย่างเดียว ตอนนี้ญี่ปุ่นต้องการเงินมาฟื้นฟูบูรณะประเทศที่เสียหายย่อยยับจากสงครามโลก
ปี 1950 เกิดสงครามเกาหลี อเมริกาเข้าช่วยเกาหลีใต้รบเกาหลีเหนือ การขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกามาเกาหลีใต้ทำได้ยากมากเพราะมันไกล อเมริกาจึงให้ญี่ปุ่นช่วยผลิต ญี่ปุ่นก็ขายสินค้าได้เป็นเทน้ำเทท่า ได้กำไรมหาศาล ได้เงินไปฟื้นฟูบูรณะและพัฒนาประเทศ
ปี 1964 ญี่ปุ่นมีความจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง คนญ๊่ปุ่นมีตู้เย็น มีเครื่องซักผ้า มีทีวี มีไฟฟ้าใช้ ในปีเดียวกันนี้ญี่ปุ่นได้เปิดเดินรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นจากกรุงโตเกียวถึงเมืองโอซากา เขาว่ากันว่าไอ้คนประดิษฐ์รถไฟชินค้นเซ็นคือวิศวกรที่เคยออกแบบผลิตเครื่องบินรบ พอไม่มีสงครามก็มาผลิตรถไฟ มาออกแบบทางด่วนให้ชาวบ้านใช้..ว่างั้น
และในปีเดีียวกันนั้น ญี่ปุ่นได้รับเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 18 ที่กรุงโตเกียว และในปี 2020 นี้ญีปุ่นเข้าจะเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 32 ที่กรุงโตเกียว อีกครั้งหนึ่ง อันนี้ไม่ต้องถามพี่ไทย ที่อ้างว่าเราปฏิรูปประเทศพร้อมกันในสมัยเมจินั้น ไทยเรามีอะไรโชว์ชาวโลกเขาบ้าง รถไฟความเร็วสูงมีมั้ย เคยรับเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิคสักครั้งบ้างหรือไม่..อิอิ
ที่กล่าวปูพื้นมาอย่างยืดยาวนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในยุคสมัยหนึ่ง ญี่ปุ่นเขาเคยใช้ยุทธศาสตร์ Fukoku kyōhei (富國強兵) ซึ่งแปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง" ที่เคยทำให้ญี่ปุ่นก้าวหน้า เข้มแข็ง ยิ่งใหญ่ แต่ว่าด้วยเผด็จการทหารและการผูกขาดของธุรกิจผูกขาดของทุนขนาดใหญ่หรือไซบัตสึ ที่เล่นกันเลยเถิด บัดนี้ทำให้บ้านเมืองพินาศ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดิ่งเหวและการทหารฉิบหายย่อยยับ แนวคิดนี้ดีในตอนต้น รุ่งเรืองในตอนกลางและพินาศในตอนจบ ญี่ปุ่นเขาจึงเลิกใช้ยุทธศาสตร์และแนวคิดนี้ เขาไปแสวงหาแนวคิดใหม่ ๆ รัฐธรรมนูญใหม่ ๆ การเมืองใหม่ ๆ ให้เหมาะแก่สภาพ จนทำให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวจากสงครามและกลับมายิ่งใหญ่ได้ดังเดิม
ยุทธศาสตร์ Fukoku kyōhei (富國強兵) ซึ่งแปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง" นี้ ประเทศไทยได้เอามาใช้เรียนใช้สอนกันในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เอามาให้นักเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเรียน ก็มีคนเอามาเรียบเรียงเสียใหม่ ให้เป็นภาษาไทยว่า "ประเทศมั่นคง (เศรษฐกิจ)ประชาชนมั่งคั่ง อันนี้คือลอกญี่ปุ่นมาชัด ๆ
อย่างว่า คนไทยชอบท่อง ก็ท่องกันเรื่อยไป "ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง" ชาวบ้านไม่เคยได้ยินได้ยินได้ฟังมาก่อน ฟังแล้วถูกใจ มึงเก่งจัง ชาวบ้านไม่รู้ว่า แนวคิดนี้เขาลอกมาจากญี่ปุ่น แล้วที่น่าตกใจคือแนวคิดนี้ญี่ปุ่นเขาเลิกไปแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไทยเราเอามาท่องไม่เลิก ท่องจนติดปาก ภาษาหนังสือสามก๊กเขาว่า "ไปลอกกากตำรามา"..ว่างั้น
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหรือ วปอ.นี้ เขาไม่ได้ให้ชาวบ้านไอ้เท่งไอ้ทอง common people เข้าไปเรียนนะ เขาสงวนไว้ให้สำหรับนายทหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ บางทีเขาให้พ่อค้าเข้าไปเรียนด้วย พ่อค้าแกเข้าไป เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การเรียน แต่แกจะเข้าไปสร้างเครือข่าย เข้าไปสัมพันธ์กับทหารและข้าราชการระดับสูง เพื่อต่อไปจะได้ช่วยกันทำมาหากิน เอ๊ย ! ไม่ใช่ ช่วยกันปกครองบ้านเมือง
วิชาที่สอนในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรคือเรื่องการเมือง ศิลปวิทยาในการปกครอง ศิลปะในการทหาร วิชาเทพและวิชามาร วิชาเหล่านี้เขาไม่มีสอนในโรงเรียนปกติ เพราะชนชั้นนำของไทยนั้น หวงวิชา ดังในหนังสือพระอภัยมณีเขาบรรยายไว้ว่า
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน
เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ
จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
เขาแอบสอนกัน เขากลัวคนสามัญหรือไพร่จะได้วิชา ถ้ามันฉลาด มันรู้มาก จะกดขี่ยากปกครองยาก ชนชั้นนำเราเขาคิดแบบนี้..ว่างั้น
พอประเทศไทยมีการยึดอำนาจในปี 2557 และมีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น หลักการทำยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องคือต้องวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของประเทศ สร้างเป้าหมายสูงสุดที่จะบรรลุให้ได้ พร้อมกับสร้างแนวทางการบรรลุเป้าหมายขั้นสูงสุดในระยะยาว เพราะยุทธศาสตร์คือการมองระยะยาวหรือ think long -term ยุทธศาสตร์ที่ดีต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองต้องรู้..ว่างั้น
แต่อย่างว่า บ้านเราทหารเป็นใหญ่ เคยเรียน วปอ.เคยท่องกันมา "ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง" พอจะเขียนยุทธศาสตร์ ก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไร มักง่ายไปลอกญี่ปุ่นมาเลย มาผสมผเส จับแพะมาผสมแกะ ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง โดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์คือคำหรู ๆ แต่ไม่มีเนื้อหาอะไร ไม่มีทิศทางอะไรเลย ฯลฯ
ไอ้ยุทธศาสตร์ Fukoku kyōhei (富國強兵) ซึ่งแปลว่า "เศรษฐกิจ ดี การทหาร เข้มแข็ง" นั่น ญี่ปุ่นเขาชัดเจน เขาส่งเสริมอุตสาหกรรมให้เข้มแข็ง(industrialization) เขาทำประเทศให้ทันสมัย(modernization)ตามแบบอย่างชาติตะวันตก(westernization) นอกจากนั้นเขาไม่ได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมหรือทำให้ทันสมัยแบบประเทศตะวันตกเพียงอย่างเดียว เขาปฏิรูปการเมืองเปิดกว้างให้เป็นประชาธิปไตยมาตรฐานแบบตะวันตกด้วย
ชนชั้นนำไทยเรา ปัญญาน้อย ความรู้น้อย แถมมักง่าย ไปลอกเขามา ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง โดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง ถามว่าไอ้เศรษฐกิจพอเพียงนี้เน้นหนักที่อะไร? เน้นหนักที่เกษตรกรรมหรือเน้นหนักที่อุตสาหกรรม? เพราะมันยังมีคนไทยอีกไม่น้อยที่เข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือการปลูกผักปลูกหญ้าหาอยู่หากิน หาได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ซึ่งถ้าความเข้าใจเป็นอย่างนี้ มันไม่ตรงไม่ครบทุกเรื่องที่อุตส่าห์ไปลอกญี่ปุ่นมา มันจะไหวหรือ?
ที่สำคัญ ไอ้ยุทธศาสตร์ Fukoku kyōhei ของญี่ปุ่นที่ว่าดีนั้น ขนาดว่าเขียนไว้อย่างดีแล้วนั้น มันมีจุดอ่อนร้ายแรงบางประการที่ไม่เหมาะกับยุคสมัย จนญี่ปุ่นเขาเห็นโทษภัย ต้องเลิกใช้ไปแล้ว ไทยเรายังบ้า ลอกความคิดเก่า ๆ ที่ญี่ปุ่นเขาเลิกใช้ไปแล้ว พี่ไทยเราเอามาเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มันจะไปรอดหรือ?
เอาเข้าจริง ยุทธศาสตร์ชาติไทยที่ว่า ประเทศมั่นคงประชาชนมั่งคั่งนั้น แท้จริงคือการพาประเทศไทยถอยหลังไปสู่ยุคที่ทหารครอบงำการเมืองการปกครอง เหมือนสมัยที่ญี่ปุ่นใช้ลัทธิชาตินิยม ลัทธิทหารนิยม ยึดตรึงประเทศให้แช่เย็นแช่แข็งเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ทหารเป็นใหญ่ในยุคก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 1946 นั่นเอง ไม่มีแนวทางการพัฒนาในระยะยาวที่จะพอจะยึดถือเป็นยุทธศาสตร์ชาติได้เลย
ทำนายได้ว่า ถ้าขืนอยู่กันไปแบบนี้ อนาคตประเทศไทยจะอ้างว้งวังเวงยิ่งนัก เพราะยุทธศาสตร์ที่มีก็เหมือนไม่มี มีแต่ถ้อยคำหรู ๆ ไม่มีความหมาย อย่างที่ชาวบ้านเขาว่าน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ยุทธศาสตร์ชาติไม่ได้ถูกกำหนดเขียนขึ้นมาจากสภาพความจริง เพราะไอ้คนเขียนมันดันไปลอกยุทธศาสตร์ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นเขาเห็นพิษภัยและเลิกใช้ไปตั้งนานนม-สมกัปป์-แล้ว ไทยเราไปลอกมาแล้วปุโลปุเลโมเมนั่งเทียนเขียนเพิ่มเติม แล้วเอามาเป็นยุทธศาสตร์ชาติ ทำเหมือนเด็กลอกข้อสอบ ได้รู้ที่มาแล้ว-พาให้สงสารและเวทนายิ่งนัก
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ..อิอิ