วันจันทร์, กรกฎาคม 04, 2565

เอาป้ายนี้ลงเถอะ


พงศกร รอดชมภู
Yesterday

เห็นความเห็นเรื่องเครื่องบินรบพม่าล้ำแดนแล้วเกิดวาทกรรม
วาทกรรมแรก เขาเป็นเพื่อนบ้านเราจะไปยิงเขาหรือ?
คำตอบคือ ไม่มีใครบอกให้ยิง บอกให้ไปรบกับเพื่อนบ้าน ถ้าเข้าใจ protocal ทหารจะทำหน้าที่ทางการทูต ๒ ประการคือ
๑. แสดงแสนยานุภาพว่า หากคุณจะทดสอบขีดความสามารถของเรา เราก็พร้อม
๒. พิสูจน์ทราบว่าเครื่องบินที่ไม่แจ้งแผนการบิน นั้นเป็นใคร เป็นมิตรหรือเป็นศัตรู จะได้ไม่เกิดการยิงกันด้วยการเข้าใจผิด กองทัพอากาศสหราชอาณาจักรขึ้นสกัดกั้นเครื่องบินของทั้งสหรัฐฯและรัสเซียมาแล้วไม่มีกรณียกเว้นอยู่ในที่ตั้ง
ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนบ้านและไม่ต้องทำอะไร ก็อยากให้คนพูดเปิดประตูบ้านไว้แล้วไปเที่ยวทั้งครอบครัวสักสัปดาห์ดูก่อน ถ้าของอยู่ครบถึงจะมั่นใจได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ในทำนองเดียวกัน ก็มีวาทกรรมที่สอดคล้องว่า เราเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องตกใจ (ไม่ต้องขึ้นสกัดกั้น)
คำตอบคงเป็นว่าเมื่อมั่นใจในเพื่อนบ้านขนาดนั้น ก็โอนงบประมาณทางทหารไปให้กระทรวงอื่นเพื่อพัฒนาประเทศดีกว่าซื้ออาวุธ ศัพท์เศรษฐศาสตร์คือจะเลือกอะไรระหว่างปืน (gun) หรือ เนยแข็ง (butter) ซึ่งคำตอบทางเศรษฐศาสตร์เมื่อเหลือเงินก้อนสุดท้ายเราต้องเลือกเนยแข็งเพื่อมีชีวิตต่อไป ไม่ใช่ปืนที่บริโภคไม่ได้
ดังนั้นวาทกรรมที่สองและที่สามก็ฟังไม่ขึ้นอย่างจริงจัง
วาทกรรมที่สี่คือ มีพวกนิยมตะวันตกยุยงให้รบกับพม่า
เรื่องนี้ก็จินตนาการมากไป ดังที่กล่าวไว้ การนำเครื่องขึ้นให้ทันเหตุเป็นการแสดงขีดความสามารถหรือความพร้อมรบของฝ่ายไทยเองว่ามีขนาดไหน รัฐมนตรีที่กำกับเอาใจใส่แค่ไหนกับเรื่องความมั่นคงเท่านั้น
กรณีบินเข้าเขตแดนนี้เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งไม่ตั้งใจและทดสอบความพร้อมรบ เราไม่สามารถเสี่ยงโดยไปรับรองคนอื่นว่าจะไม่ใช้อาวุธกับประชาชนคนไทย การขึ้นสกัดกั้น ขัดขวางให้ทันเป็นการสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนของไทยเองจากการยิงด้วยความเข้าใจผิด
กรณีที่ผ่านมาแทนที่ฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายผู้บังคับบัญชาจะไปแก้ตัวให้กับคนอื่น ควรใช้โอกาสนี้กำชับ กวดขัน ตรวจสอบและรายงานประชาชนโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานในการปฏิบัติภารกิจสกัดกั้น QRA ว่าปกติใช้เวลาเท่าไร หากไม่ได้ตามเวลานั้นเกิดจากอะไร แล้วรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา เป็นหู เป็นตาให้ประชาชน
พลาดไปก็ยอมรับตรง ๆ ว่าตัวเลขที่ทำได้นี้ไม่ได้มาตรฐาน เราจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด ต่อไปนี้เครื่องบินรบสกัดกั้นต้องสามารถบินขึ้นตั้งแต่มีสัญญานว่าไม่ตอบวิทยุเป็นเวลาไม่เกิน ๓ นาที และเข้าพิสูจน์ทราบได้ในเวลาไม่เกิน ๑๐ นาที เช่นนี้หรือแบบไหนที่คิดว่าสมควรก็แถลงเป็นสัญญาประชาคมไป
การให้ทัศนะแบบพยายามแก้ตัว โยนความผิดให้คนอื่น พูดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาประมาท ล้วนแต่เป็นคำพูดแบบทางการเมือง ไม่สร้างสมรรถนะและขีดความสามารถให้กองทัพแต่อย่างใด
ยิ่งมีข่าวบางแห่งออกมาชมเชยว่าขึ้นบินสกัดกั้นดีแล้ว นอกจากจะทำให้ทหารต่างชาติดูแคลนความสามารถของทหารไทยแล้ว ยังส่งเสริมให้มีความเสี่ยงอีกด้วย
ขอย้ำว่ากรณีเครื่องบินพม่าบินเข้ามาเป็นเรื่องเป็นไปได้ ปกติหากมีการยิงล่วงล้ำแดน ทหารที่ชายแดนจะยิงปืนใหญ่กระสุนควันบอกแนวเขตแดน ทำกันจนเป็นเรื่องปกติเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย
แต่การแสดงกำลัง (show of forces) ในเหตุการณ์จริง นาน ๆ จะมีโอกาส แต่ฉวยไว้ไม่ได้ ควรนำไปเป็นบทเรียนคอยเวลาแก้ตัว ไม่ใช่ซุกปัญหา เพราะมันดีกว่าสวนสนามมาก
ทหารรัสเซียสวนสนาม กำลังพลจำนวนมาก อาวุธเต็มไปหมด ไม่ได้บอกอะไร
มีแต่เวลาเข้าสงครามจริงเท่านั้น ขีดความสามารถทางทหารจึงจะถูกเปิดเผยออกมา ว่ามีแค่ไหนครับ
.....

Jom Petchpradab
21h

นอกจากไร้ความสามารถ ในการรักษาปกป้องอธิปไตยของชาติแล้ว ปาก..(ห...า.) อีก พูดโดยไม่รู้กาละ เทศะ และยังไม่รู้ ไม่ดูอารมณ์คนไทยเวลานี้เลยหรือไง..เจริญพวงจริงๆ แม่ทัพนายกองไทย