วันศุกร์, กรกฎาคม 08, 2565
‘เพื่อไทย’ แย้มสูตร แก้เกมหาร 500 จ่อตั้งพรรคใหม่ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ สู้
‘เพื่อไทย’ ประณามรัฐบาลกลับลำดัน 500 หาร ทำรัฐสภาอัปยศ เดิน 2 ขาหาทางรอด เลือกตั้งรอบหน้าจ่อตั้ง ‘พรรคครอบครัวเพื่อไทย’ เน้นส่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนเขตให้เลือก ‘เพื่อไทย’ ด้าน ‘สุทิน’ เชื่อ ‘ประยุทธ์’ ซ่อนกลร้ายพาไปทางตัน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 กรกฎาคม ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค และนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงกรณีที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 23 ของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ตามกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อย ที่ให้ใช้สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบจัดสรรปันส่วนผสมโดยเอา 500 หาร
โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การคำนวณแบบนี้ถูกนำมาใช้เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ระบบนี้เป็นการสร้างให้เกิดภาพจริงทางการเมืองในปัจจุบันคือมี ส.ส.ปัดเศษ มีรัฐบาลผสม 20 กว่าพรรค การทำงานในสภาไม่เป็นไปตามกลไกรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนได้รับฉายาว่าเป็นสภาที่ขับเคลื่อนด้วยกล้วยหรือสภาแจกกล้วย ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐสภาได้ดำเนินการก่อนหน้านี้ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) คือมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะระบบเลือกตั้งให้เป็นคู่ขนานเสียงข้างมาก คือ มีบัตร 2 ใบ ซึ่งถูกกำหนดไว้อย่างเรียบร้อยในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ
โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีนายกรัฐมนตรีลงนามส่งผ่านมายังสภา ซึ่งสภาพิจารณารับหลักการวาระแรกจนเข้าสู่การพิจารณาในชั้น กมธ. แต่เมื่อผ่านชั้น กมธ. ก่อนเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ยังมีมติเห็นชอบตามที่ กมธ.พิจารณา คือไม่มีการแก้ไข แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 ของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้เกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสรายงานข่าวจากสื่อมวลชนว่า มีการสั่งการจากทำเนียบรัฐบาล ให้หาร 500 ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยน พิสูจน์ได้จากการลงมติวานนี้ (6 กรกฎาคม)
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบบคู่ขนานเสียงข้างมาก จะถูกแก้เป็นจัดสรรปันส่วนผสมแบบบัตร 2 ใบ แน่นอนว่าขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่คนมีอำนาจต้องการว่าจะเอาแบบนี้ เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อเป็นหลักประกันว่า 30 เสียง จากพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งจะช่วยโหวตให้ แต่พรรคการเมืองนี้จะได้ประโยชน์จากคะแนนจัดสรรโดยหาร 500 ถ้าเป็นแบบนั้นจริง จะเป็นความอัปยศที่สุดในรัฐสภาไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่มีการสั่งยกเลิกทำลายกฎหมายตัวเอง จึงเป็นการทำลายระบบรัฐสภาอย่างอัปยศ ตนจึงขอประณามสิ่งที่เกิดขึ้น
“การทำให้ตัวเองอยู่รอดโดยหวังเพียงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ปรากฏการณ์แบบนี้มีมาตลอด เหมือนผู้มีอำนาจท่านนี้ถูกบีบคออยู่ตลอด ที่เมื่อพรรคร่วมต้องการอะไรถ้าขอแล้วไม่ให้จะถอนตัว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวานนี้ (6 กรกฎาคม) ถือเป็นพฤติกรรมจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง มีผู้สั่งการ มีพรรคการเมืองที่รับคำสั่ง มีสมาชิกรัฐสภาที่รับคำสั่ง ซึ่งเราจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งหลังจากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านวาระ 3 จะถูกส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และ กกต. ในส่วนของพรรค พท. ยังจะใช้กลไกผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย” นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า พรรค พท. จะนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย แต่ถ้าเห็นว่าเป็นการครอบงำที่เกิดจากบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้กระทำตามที่เขาต้องการ และพรรคการเมืองนั้นยินยอมให้ครอบงำ จะต้องยื่น กกต.ให้ตรวจสอบ
เมื่อถามว่า กรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โหวตไม่เห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมากในการใช้สูตร 100 หาร เพื่อคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนเข้าใจต่อการโหวตของพรรค ก.ก. ในรอบแรก เพราะพรรคก้าวไกลมีคนเสนอการแก้ไขการแปรญัตติสูตรหาร 100 ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีกรูปแบบหนึ่ง จึงเกิดภาพอีหลักอีเหลื่อว่าจะโหวตไปทางใด แม้ว่าใจจะเอาหาร 100 แต่แตกต่างกันในวิธีคำนวณ เราเองก็ลำบากใจแทนพรรค ก.ก.
เมื่อถามว่า หากระบบเลือกตั้งเป็นเช่นนี้พรรค พท. จะใช้วิธีแตกแบงก์พันหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราไม่แตกแบงก์พัน หากระบบเช่นนี้ผ่านจริง และใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรค พท. ไม่ได้กลัว เพราะมีหลายวิธีการ ซึ่งอาจจะมีอีกกลไกคือมีพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งที่มุ่งรณรงค์เฉพาะบัญชีรายชื่อ แบบไม่สนใจเขต เช่น การตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยส่งบุคคลที่เราต้องการใส่ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้เต็ม แล้ววางกลไกการรณรงค์หาเสียงให้เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว และให้มาเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยจะรณรงค์ให้เลือกเฉพาะ ส.ส.เขต เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน กลไกนี้อาจจะได้ผลที่เขาคิดไม่ถึงเกี่ยวกับการหาร 500 ทั้งนี้ สิ่งที่เราคิดไว้ขึ้นอยู่กับการตอบรับของประชาชน ถ้าประชาชนบอกว่าดี ก็อาจจะเป็นไปได้ โดยเราจะนำผลโพลที่พรรค พท. มีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่งมาร่วมประเมินการตัดสินใจด้วย แต่การประเมินเชิงลึกต้องประเมินเชิงพื้นที่ระดับเขต ว่าหากจะเอา 15 ล้านเสียง แต่ละเขตจะต้องได้ไม่ต่ำกว่า 35,000 เสียง ถ้าทำได้ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยภายในพรรคยังไม่ได้คุยถึงกลไกนี้อย่างเป็นทางการ ตนเล่าให้ฟังแบบเปิดไต๋เผื่อเขาจะกลับตัวทัน ส่วนบัญชีรายชื่อของพรรค พท. อาจจะต้องโอนมาอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งบัญชีรายชื่อของพรรค พท. อาจจะเป็นพวกแถวสอง
เมื่อถามว่า สมาชิกพรรคในพรรค พท. มีแนวคิดสนับสนุนให้ตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ทั้งนี้หากนำผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 มาพิจารณา พรรคที่ได้ประโยชน์จากระบบการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นคือพรรค ก.ก. ที่อาจจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเกิน 50 คน ส่วนความคาดหวังของพรรคเล็กที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อจากระบบนี้อาจจะไม่เป็นไปตามที่นึกไว้ก็ได้ เพราะจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อลดจาก 150 เหลือ 100 คน สุดท้ายต้องมีการทอน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงให้เหลือ 100 คนเฉลี่ยจากทุกพรรคการเมือง ไม่ใช่ว่าจะได้คะแนน 7 หมื่นเสียงแล้วจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ขณะที่ นายสุทิน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์แล้วว่า คนที่ทำความชั่วให้ระบอบประชาธิปไตยยังไม่หยุดยั้ง และไม่เหนือความคาดหมายว่าจะทำได้ขนาดนี้ ซึ่งตนเชื่อว่า จะทำความชั่วร้ายได้มากกว่านี้อีก จึงขอให้ประชาชนติดตาม โดยเฉพาะการใช้ 500 หาร เป็นความเลวร้ายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเชื่อว่า จะมีการซ่อนกลไกร้ายทำความชั่วมากกว่านี้ พล.อ.ประยุทธ์มีความคิดวางกลเกมให้เจอทางตัน หากกฎหมายฉบับนี้เดินไปถึงทางตัน รัฐบาลก็จะกำหนดกติกา กฎเกณฑ์ระบบการเลือกตั้งได้ ตนคิดว่าการหาร 500 เป็นชัยชนะที่น่าละอาย
ที่มา มติชนออนไลน์