วันอังคาร, พฤษภาคม 17, 2565

อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “โครงสร้าง” ของสถาบันกษัตริย์ ?


Pakinai Chomsinsubmun
12h ·

อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “โครงสร้าง” ของสถาบันกษัตริย์ ?
(อันที่จริงผมไม่คิดว่าสถาบันกษัตริย์มีเพียงแค่โครงสร้างอะไรด้านเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ สถาบันกษัตริย์ก็เหมือนสถาบันสังคมและการเมืองอื่นๆในไทยที่ไม่ได้มีการแยกระหว่าง “ตัวแสดง” และ “โครงสร้าง” ออกจากกันอย่างเด็ดขาด, แต่สำหรับโพสต์ขอเขียนถึงสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างมากกว่า)
--
ผมคิดว่าโครงสร้างหลักของสถาบันกษัตริย์ไทยวางอยู่บนพื้นฐาน 4 ประการ
1. เศรษฐกิจ
2. การเมือง
3. สังคม (ความสัมพันธ์ต่างๆระหว่างสถาบันฯกับตัวแสดงอื่นในสังคม)
4. วัฒนธรรม
ผมจะขอเขียนทุกข้ออย่างสรุปให้เข้าใจง่ายที่สุด สั้นที่สุด เท่าที่คนทั่วไปจะมีเวลาอ่านในโซเชียล (ถ้าเขียนลงรายละเอียด ผมสามารถเขียนเป็นบทความมีอ้างอิงข้อมูลได้ถึง 40-50 หน้า แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ของโพสต์นี้)
--
1. เศรษฐกิจ สถาบันฯมีแหล่งรายได้จาก 2 ส่วนใหญ่ คือ 1.สนง.ทรัพย์สินฯ และ 2.เงินภาษีประชาชน
เอาส่วนแรกก่อน สนง.ทรัพย์ฯเพิ่งเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ทำให้รัชกาลที่ 10 มีอำนาจเต็มในการจัดการทรัพย์สินทุกอย่างของสถาบันฯ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดที่ผมมือในมือ รายได้ของ สนง.มาจาก 5 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1. ที่ดิน 2. ธ.ไทยพานิช 3. ปูน 4.ประกัน 5.ทรัพย์สินอื่นๆ ต่อข้อมูลปี 2014 สนง.นี้มีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ 1.4 trillion bath (หลักทริลเลี่ยน ลองแปลงดูครับ) รายได้หลักของ สนง คือที่ดิน จุดนี้สร้างรายได้ให้แก่เจ้ามากที่สุด
นอกจากนี้ สนง ยังมีการถือหุ้นบริษัทอื่นๆด้วย หลายแห่งถือผ่านนอมินี ข้อมูลพวกนี้ต้องอาศัยการ research ค่อนข้างลึก เพราะเวลานี้ สนง ไม่มีข้อมูลใดๆเผยแพร่แล้ว เท่าที่ผมมีในมือก็คืองาน research ของพอพันธุ์ อัพเดตที่สุดแล้ว ดังนั้นผมคิดว่ามูลค่าของ สนง จึงน่าจะมีมากขึ้นกว่าปี 2014
ส่วนที่สอง สถาบันฯรับเงินภาษีประชาชนแต่ละปีที่ราวๆ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อเอามาใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า
วิธีวิเคราะห์ : สมมุติเราสู้เรื่องภาษี 3 หมื่นล้านและสำเร็จ แต่อำนาจเศรษฐกิจของสถาบันก็ยังอยู่เช่นเดิมเพราะเขายังมี สนง ทรัพย์ฯเป็นแหล่งรายได้สำคัญและมีรายได้มากกว่าภาษีหลายเท่าตัว ดังนั้น การต่อสู้เรื่องภาษีจึงอาจจะไม่ได้ทำให้สถาบันกษัตริย์ทรุดลงเพราะแหล่งรายได้หายไป เราได้เต็มที่จากเรื่องนี้แค่เจ้าไม่ได้เอาภาษีไปใช้เท่านั้นเอง (แต่อำนาจเศรษฐกิจยังอยู่เช่นเดิม)
--
2. การเมือง หลังจอมพลสฤษดิ์ขึ้นสู่อำนาจ พ.ศ.2500 สถาบันกษัตริย์ไทยคือ power play ที่สำคัญที่สุดในระบบการเมืองไทย วิธีการที่สถาบันใช้ควบคุมอำนาจ คือ การสร้างเครือข่ายชนชั้นนำไทยเกือบทั้งระบบ (รัฐ+เอกชน+กลุ่มทุน+กลุ่มนักการเมือง+ภาคประชาสังคม+ศาล+ทหาร+ตำรวจ) ให้เชื่อมกับสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะระดับตัวบุคคลระดับสูงแต่ละวงการ
ถึงแม้ว่ามีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้งใน ปวศ แต่สถาบันก็สามารถใช้อำนาจลักษณะ passive ควบคุมทางการเมืองเอาไว้ได้และสามารถใช้ “รูปแบบประชาธิปไตย” ดำเนินการต่างๆไปได้ (เกษียรเรียกว่า bhumibol consensus) ดังนั้น อำนาจของสถาบันกษัตริย์จึงอยู่จุดสูงสุดของยอดปีรามิด ซึ่งเขาควบคุมโครงสร้างส่วนบนจนถึงระดับกลางๆไว้ได้ทั้งหมด ทั้งตัวคนและตัวสถาบันอำนาจ
วิธีวิเคราะห์ : สถาบันกษัตริย์มีจุดแข็งที่สุดคือการควบคุมโครงสร้างระดับบนสุดจนถึงระดับกลาง ทำให้วีธีการใดๆที่จะพุ่งไปชนโครงสร้างส่วนบนและส่วนกลางจะเต็มไปด้วยความยากลำบากแสนสาหัส
--
3. สังคม (ความสัมพันธ์ต่างๆระหว่างสถาบันฯกับตัวแสดงอื่นในสังคม) ตลอดเวลาที่สถาบันกษัตริย์ขึ้นมามีอำนาจได้หลัง พ.ศ.2500 เรื่องหนึ่งที่สถาบันทำก็คือการเชื่อมตัวเองเข้ากันกับองค์กรและสถาบันทางสังคมอื่นๆในไทยอย่างแนบแน่นเพื่อขยายอำนาจทางวัฒนธรรมของตนเอง เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย ครอบครัว วัด องค์กรสาธารณะกุศล กลุ่มภาคประชาสังคม สื่อมวลชน กลุ่มอาชีพ เป็นต้น
ซึ่งการเชื่อมสัมพันธ์เหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้การทำงานแบบ soft power ที่ส่งเข้าไปใน public sphere ติดต่อกันเป็นสิบๆๆปี จุดตั้งต้นเรื่องนี้เกิดจากความช่วยเหลือของสหรัฐ เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านจิตวิทยาต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งสถาบันกษัตริย์ไทยยินยอมรับมาใช้เพราะตนเองได้ประโยชน์ มันคือการควบคุมความคิดของคนไทยชนิดหนึ่ง
วิธีวิเคราะห์ : นี่คือการทำงานเชิงอำนาจของสถาบันกษัตริย์ใน “โครงสร้างส่วนล่าง” (หมายถึงสังคมคนทั่วๆไปที่ใช้ชีวิตประจำวัน ชีวิตทำมาหากิน ชีวิตแต่ละวัน) ที่ผ่านมาขบวนการสามนิ้วทำลายอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในจุดนี้ได้มากที่สุด ทำให้คนไม่รู้สึกว่าสถาบันกษัตริย์สำคัญอะไรมากนักเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ว่ายังติดขัดที่เรื่องการขยายความคิดวิพากษ์สถาบันฯออกไปสู่วงกว้าง (ผมเคยพูดถึงตัวชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งเราไม่มีเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทำให้ประเมินไม่ออกว่าเราทำงานจุดนี้ไปถึงไหนแล้วกันแน่)
ดังนั้น ในส่วนนี้เราจึงไม่ได้สู้กับสถาบันกษัตริย์โดยตรง แต่เรากำลังสู้กับ public sphere ซึ่งยากเช่นกัน อย่าลืมว่าสถาบันสร้างจุดนี้มานานมากๆแล้ว หยั่งรากไปทั่วทั้งสังคม การสู้จึงต้องใช้ความอดทนและความคิดมากกว่าอีกฝ่ายหลายเท่าตัว
--
4. วัฒนธรรม สถาบันกษัตริย์ขยายอำนาจตนเองผ่านสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” มีทั้งระดับ state culture และ societal culture
สถาบันกำหนดวัฒนธรรมผ่านโครงสร้างต่างๆของรัฐ (ใครสายอัลธูแซเรี่ยนน่าจะนึกออก) เมื่อเจ้าสามารถใช้อำนาจเหนือรัฐในการกำหนดวัฒนธรรมผ่านโครงสร้างได้ (กฎหมาย, ค่านิยม, ตัวคน, ข้าราชการ, เอกชนที่สวามิภักดิ์ ฯลฯ) หากเราต่อต้านวัฒนธรรมของเจ้า เจ้าก็สามารถใช้ศาล ทหาร ตำรวจ เล่นงานเรากลับได้ด้วยกฎหมาย ซึ่งดูสมเหตุสมผล ดีกว่าใช้อำนาจดิบๆที่ไม่ใช่กฎหมายจัดการ
นอกจากนี้ วัฒนธรรมของรัฐยังเป็นตัว shape ความคิดและความเชื่อทางการเมืองให้แก่คนในรัฐด้วย (societal culture) รัฐจึงมีบทบาทในการสร้างสลิ่มรักเจ้าขึ้นมาเต็มไปหมด ส่วนใครต่อต้านก็รับโทษไป เพราะนี่คือ “stick and honey approach” หมายถึง ทำดีได้รางวัล ทำเหี้ยโดนลงโทษ จุดนี้จะทำให้คนรักเจ้ารักสถาบันได้ดิบได้ดีในชีวิตมากที่สุด นั่นหมายถึงการผลิตซ้ำวัฒนธรรมรักเจ้าต่อไปเรื่อยๆนั่นเอง
ในอดีต สถาบันใช้ “วัดและพระ” ในการกำหนดวัฒนธรรม เวลาผ่านไป ระบบทุนนิยมไทยเติบโตขึ้น ชนชั้นกลางขยายตัว สถาบันก็ใช้ทั้งวัดและสถาบันของทุนช่วยควมคุมความคิดคน ชาวบ้านร้านตลาดใช้วัดคุม ส่วนชนชั้นกลางผุ้มีการศึกษาก็ใช้สถาบันทุนคุมแทน (อ่านงานเรื่อง royal capitalism จะเข้าใจเรื่องนี้)
วิธีวิเคราะห์ : สถาบันกษัตริย์สามารถใช้กลไกทุกอย่างของรัฐในการควบคุมความคิดและความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ ดังนั้น ป้อมปราการอำนาจทางความเชื่อของสถาบันจึงถูกฝังไว้ในกลไกรัฐนานาชนิด ซึ่งรัฐคืออำนาจความรุนแรงและอำนาจบีบบังคับ ให้คุณให้โทษได้
นอกจากนี้ ยังถูกฝังไว้ในส่วนต่างๆของสังคมที่เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมรัฐอีกทอดหนึ่ง เท่ากับว่าศัตรูของผู้เคลื่อนไหวเรื่องสถาบันกษัตริย์จึงไม่ใช่แค่ตัวสถาบันอย่างเดียวแล้ว รวมถึงรัฐและสังคมด้วย ซึ่งเขายังมีอำนาจควบคุมรัฐอยู่ในมือ การวิ่งชนกับรัฐในเรื่องเจ้าจึงเปรียบเปรยได้ว่าเป็นการวิ่งไปให้เขายิงเฉยๆนั่นแหละ
--
เมื่อเอาทุกข้อมารวมกัน จะเห็นว่าโครงสร้างหลักๆของสถาบันกษัตริย์นั้น พวกเจ้าสามารถควบคุมได้หมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างระดับบนและระดับกลาง
สถาบันกษัตริย์ “สร้างพันธมิตรทางการเมือง” ในโครงสร้างส่วนนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะเขาออกแบบระบบเช่นนี้มานานแล้ว เป็นพื้นฐานความคิดของเขาเลย (top-down control) ดังนั้น การวิ่งไปชนโครงสร้างเหล่านี้ตรงๆคือ “ความเหนื่อยแสนสาหัส” เพราะคุณกำลังสู้ในจุดที่เขาถนัดที่สุด แข็งแกร่งที่สุด และเชี่ยวชาญมากที่สุด
แต่สังเกตว่าโครงสร้างส่วนล่างนั้นสถาบันไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด พูดภาษาโปรแกรม โครงสร้างส่วนล่างมี bug ที่พวกเจ้ายังไม่สามารถแก้ไขได้หรือยังไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดอยู่ ซึ่งนั่นคือช่องว่างโอกาสที่จะต่อยอดการเคลื่อนไหวได้ (ผมชอบพูดคำว่ายักษ์ทุกตัวมีจุดอ่อนเสมอ)
พูดให้ชัดๆคือ “มวลชนฐานราก”
ดังนั้น เราจะไม่สู้ในสิ่งที่สถาบันแข็งแกร่งที่สุดเพราะเราสู้ยากมากเกินไป เหนื่อยเกินไป แต่เราต้องมองหา bug ในโครงสร้างส่วนล่างให้เจอแล้วเริ่มจากตรงนั้น ผมบอกไปแล้วว่าเราต้องทำงานกับ “มวลชน” หรือ “คน” ให้มากกว่านี้ เพื่อขยายฐานการต่อสู้
--
(เสริม) ส่วนวิธีการนั้น ผมคิดว่าพูดในสาธารณะได้เท่านี้
ต้องคิดสองระดับ คือ 1.องค์กร/กลุ่ม/ตัวแกน 2.งานมวลชนแนวราบที่ปราศจากการรวมศูนย์
ระดับข้อ 1. ต้องมีความรู้ความเข้าใจในทางการเมืองค่อนข้างลึกซึ้งพอสมควร เพราะคุณต้องเป็นผู้ปฎิบัติงานเคลื่อนไหว สร้างสิ่งต่างๆในทางการเมืองให้เกิดขึ้นจริง และต้องออกไปพูดคุยกับผู้คนต่างๆ เพื่อเป้าหมายเรื่องปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ วิธีการใดๆที่จะทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง
ระดับข้อ 2. มวลชนแนวราบ คนเหล่านี้จะมีความสนใจที่แตกต่างกันโดยธรรมชาติ ซึ่งเราจะสามารถโน้มน้าวให้มวลชนเอาด้วยกับเรื่องปฎิรูปสถาบันได้ก็ต้องทำให้มวลชนเห็นว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตเขายังไง คุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดถึงเป้าหมายเลยก็ได้ แต่คุณต้องทำงานกับมวลชนเพื่อดึงเขามาเป็น back up ทางการเมืองของคุณ ที่จะส่งแรงให้คุณมีอำนาจต่อสู้ในระยะยาวได้ ดังนั้น การประเมินประชาชนแต่ละกลุ่มที่จะไปทำงานด้วยจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก อย่าคิดเองเออเอง เพราะคุณจะไม่รู้จริงๆหรอกจนกว่าไปพูดคุยกับเขา
คุณจำเป็นต้องมีหลังพิงที่เรียกว่า "มวลชน" หรือ "ประชาชน" ให้ได้ เพราะนี่คือป้อมปราการทางการเมืองเดียวที่คุณมีอยู่และเป็นไปได้จริงทางปฎิบัติ
เรื่องอื่นๆ : ให้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแต่ละช่วงให้ดี ทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งมันมีผลต่อ “วิธีการแต่ละช่วง”
...
ความเห็นหนึ่งในโพสต์
ผมไม่คิดว่า อิทธิพลของกษัตริย์ มาจากการมีเงิน(ไม่ว่าจากงบประมาณ หรือจากสำนักงานทรัพย์สินฯ)เท่านั้น
ผมเห็นว่า อิทธิพลของสถาบันกษัตริย์ มาจากวิธีการแบบเดียวกับที่เหล่ามาเฟียใช้กัน คือการสร้าง "ระบบอุปถัมป์" ข้าราชการระดับสูง มาจากการโปรดเกล้าฯ ของกษัตริย์ทั้งสิ้น พ่อค้า นักธุรกิจเอกชน หากกล้าขัดใจราชวงศ์ ก็อาจตกที่นั่งเดียวกับ ลาซาดา ใครอยากเจริญก้าวหน้า อยากค้าขายแบบราบรื่น ก็ต้องประจบประแจงกษัติย์
ด้วยอำนาจทั้งเป็นทางการ(hard power) และอำนาจทางเศรษฐกิจและสังคม(soft power) ทำให้ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ที่เป็นระดับ "ชนชั้นนำ" ต่างก็ต้องยอมศิโรราบให้กับสถาบันกษัตริย์ และต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกันตามระบบอุปถัมป์อันมีกษัตริย์เป็นยอดสุดของระบบนี้