วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 19, 2565

ทำไมหลายคนพร้อมที่จะเลือกคุณวิโรจน์ ?


Puangthong Pawakapan
7h ·

เราเป็นคนชั้นกลาง เวลาคิดถึงปัญหา กทม. ก็มักคิดถึงปัญหาที่ทำให้เราเสียเวลา เสียคุณภาพชีวิตที่ดีแบบคนในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น น่ำท่วม รถติด อากาศเป็นพิษ ขยะ น้ำเน่า ไม่มีสวนสาธารณะ เราต้องการกรุงเทพที่ทำให้ชีวิตแบบชนชั้นกลางท่ีมีเงินจะจ่าย อยู่ได้อย่างสบาย อยู่แบบชิลๆ ซึ่งก็ไม่ผิดแน่นอน ยืนยันว่าไม่ผิด แต่กรุงเทพที่โคตรเฮงซวยนี้ คนที่ลำบากที่สุดคือคนจน ซึ่งคนชั้นกลางที่ไม่ค่อยมีเวลาเดินดิน อาจจะมองไม่เห็น เพราะชีวิตอยู่บนรถ-ออฟฟิศ-ห้าง-บ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เราเชื่อว่าคุณวิโรจน์เห็น และทนกับความอยุติธรรมนี้ไม่ได้ การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาของเขา จึงย้ำเรื่องคนกลุ่มนี้บ่อยๆ

มนุษย์กรุงเทพฯ
11h ·

“ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นปัญหาในกรุงเทพฯ มานาน สมัยอยู่พรรคอนาคตใหม่มีวงพูดคุยถึงแนวทางแก้ปัญหากรุงเทพฯ ผมก็อยู่ในวงนั้น เวลาผู้ว่า กทม. คิดนโยบายเป็นร้อยเป็นพันออกมา ทุกอย่างต้องใช้เงิน หลายครั้งจบลงที่คำว่า ‘ไม่มีงบประมาณ’ คำถามคือ ‘ทำไมเราถึงไม่หารายได้’ ทุกวันนี้มีคนตัวใหญ่ที่จ่ายค่าธรรมเนียมหรือภาษีอย่างไม่สมเหตุสมผล ถ้าจะแก้ที่ใจกลางของปัญหา ก็ต้องเริ่มจากการแก้กติกาให้เป็นธรรมก่อน เราไม่ได้จะรีดจากประชาชนสองล้านกว่าครัวเรือน แต่จะเก็บจากคนตัวใหญ่ที่หลีกเลี่ยงจ่ายมาตลอด เก็บคนเหล่านั้นให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผมเงี่ยหูฟังแคนดิเดตคนอื่นมาสักพัก แต่ไม่เห็นใครคิดเรื่องนี้เลย สุดท้ายเลยตัดสินใจลงสมัครเอง ซึ่งพอไปดีเบตในเวทีต่างๆ ก็เหมือนผมพูดเรื่องนี้อยู่คนเดียว
“เรื่องขยะคือปัญหาของเมืองใหญ่ เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นจากหน้าบ้านเลย บ้านเรือนในหลายพื้นที่ไม่มีรถขยะมาเก็บตามกำหนด แต่ร้านสะดวกซื้อมาเก็บได้ทุกวัน ห้างใหญ่ๆ มาเก็บวันละหลายคันรถ ถ้าเทียบกับปริมาณขยะแล้ว พวกเขาจ่ายค่าขยะในอัตราที่ถูกมาก ดังนั้นเราต้องเก็บให้เหมาะสมกับต้นทุนการจัดการ ขณะที่ปัญหาน้ำท่วม คุณคิดว่าคนทำงานไม่รู้เหรอ ว่าต้องกระจายงบประมาณมาบำรุงรักษาท่อระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ หรือลอกท่อ ฯลฯ แต่งบสองพันล้านไปอยู่กับอุโมงค์ยักษ์ มีแต่เจ้าเดิมๆ มาทำ อุโมงค์ยักษ์จะทำงานได้ดีถ้ามีการลอกท่อ แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยทำ ที่ทำก็อาจแค่เปิดฝาพัก ตักขี้เลน ถ่ายรูป แล้วเบิกเงินเต็ม ถ้าให้ผมเดา มันอาจเป็นความเกรงใจ หลายคนไม่อยากตัดงบประมาณที่พัวพันกับผู้รับเหมารายใหญ่
“สิ่งที่มากกว่าความกล้าหรือกลัว คือเรื่องบุญคุณ เราต่างมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน คุณก็เกรงใจผม ผมก็เกรงใจคุณ สุดท้ายเลยไม่กล้าปฏิเสธ ถ้าไม่นับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง หรือเพื่อน ไม่มีใครมีบุญคุณทางเศรษฐกิจกับผม ผมสามารถตัดสินใจให้เป็นธรรมกับทุกคนได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร ตั้งแต่ตอนทำงานเป็น ส.ส. ในสภาแล้ว ผมทำงานด้วยความตรงไปตรงมา มีคนไปตามครอบครัวของผม แต่ก็หยุดอะไรผมไม่ได้ จริงๆ ทุกคนมีความกลัวหมดแหละ แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้คุณ ประชาชนที่เคยไม่เข้าใจในวันแรก พอผลประโยชน์ที่ตกถึงเขาในฐานะผู้เสียภาษีคนหนึ่ง สุดท้ายเขาจะเข้าใจเรามากขึ้น
“แม่ของผมทำอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนพ่อขายผ้า เมื่อก่อนผมคิดแบบชนชั้นกลางทั่วไปว่า ‘ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี คุณก็ต้องพยายาม’ แต่เวลาผ่านไป ผมได้เจอคนที่ขยันจนไม่รู้ว่าเวลาพักคืออะไร เห็นเด็กบางคนแล้วรู้เลยว่า ถ้าเขาอยู่ในระบบนิเวศแบบนั้น ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากความยากจนเลย ความเก่งเป็นส่วนหนึ่ง แต่เมืองที่เป็นธรรมจะสร้างคนประสบความสำเร็จมากขึ้น ผมไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย ปิดเทอมต้องช่วยพ่อทำงาน เลยคิดว่าตัวเองมีอารมณ์ร่วมกับคนที่ต้องดิ้นรนในเมืองนี้ แต่เวลาพูดเรื่องนี้ต้องระมัดระวัง เดี๋ยวคนจะหาว่าขายความยากจน ผมอยู่ในครอบครัวที่ต้องดิ้นรนก็จริง แต่ในความยากจน มีคนที่ยากจนกว่าอีกจำนวนมาก ผมยังโชคดีมีที่ให้ดิ้น เพราะครอบครัวไม่มีหนี้ครัวเรือน แต่หลายคนดิ้นจนไม่มีแรงจะดิ้นแล้ว
“ช่วงที่ผมลงพื้นที่ในกรุงเทพฯ สิ่งเฮิร์ตที่สุดคือเรื่องคนจนเมือง ผมเคยเจอคุณยายท่านหนึ่งที่เขตบางซื่อ เขาเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้กินข้าวกับไข่ต้ม รางวัลที่ทำให้ดีใจคือวันนั้นได้กินข้าวกับแกงถุง ไม่ได้เป็นแค่บ้านเดียว คนแบบนั้นมีเต็มไปหมด หรือเวลาเจอคนป่วยในชุมชน เราอาจตั้งคำถามว่า ‘ทำไมถึงไม่ไปหาหมอ’ มีคนบอกผมว่า ‘ไม่มีเวลาไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลก็เสียเวลาครึ่งค่อนวัน ต้องถูกตัดค่าแรงรายวันอีก’ สุดท้ายเขาเลยซื้อยากินเองเท่าที่ซื้อไหว ทำไมคุณภาพชีวิตของคนถึงเป็นแบบนี้ เมืองนี้ผลักภาระให้เราดิ้นรนเอง คนที่ดิ้นรนแล้วชนะได้คือหนึ่งในล้าน ก็ถูกโฆษณาว่า 'นี่คือผลของความพยายาม' แต่มีคนอีกไม่รู้เท่าไรที่พยายามจนไม่รู้จะพยายามยังไงแล้ว ทำงานถึงดึก บ้านมีไว้เก็บของ แต่ไม่มีโอกาสหารายได้มากกว่านี้
“ผมสะอิดสะเอียนทุกครั้งเวลาได้ยินคนพูดว่า ‘ต้องให้เศรษฐกิจดีก่อน ถึงทำสวัสดิการให้ประชาชนได้’ มันเป็นความคิดของ (เงียบ) พูดตรงๆ ได้ป่ะ สมุนนายทุนชัดๆ คุณควรทำสวัสดิการให้ดี โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็กแรกเกิด - 6 ขวบ คนพิการ และผู้สูงอายุ พวกเขาก็เอาเงินนั้นมากินมาใช้ในชุมชน พอรู้สึกว่าชีวิตมั่นคงก็มีกำลังซื้อมากขึ้น พอคนบริโภคมากขึ้น คนก็อยากลงทุนมากขึ้น มันก็นำไปสู่การจ้างงาน แต่ขณะเดียวกัน คุณต้องแก้กติกาที่ไม่เป็นธรรมด้วย ต่อให้เศรษฐกิจดีแค่ไหน ถามว่านายทุนใหญ่ๆ อยากจ่ายค่าธรรมเนียมขยะเพิ่มขึ้นไหม ถามว่าโรงงานใหญ่ๆ อยากจ่ายค่าบำบัดน้ำเสียไหม ถามว่าเจ้าของที่ดินจะเลิกเอาที่ใจกลางเมืองมาล้อมรั้วแล้วปลูกกล้วยเพื่อแสร้งว่าเป็นที่เกษตรกรรมเพื่อเลี่ยงภาษีไหม ไม่หรอก
“หลายคนมีความคิดว่า ‘คนรวยก็รวยอยู่วันยังค่ำ คนจนก็จนอยู่อย่างนั้น’ ถ้าคุณจัดเก็บรายได้จากคนตัวใหญ่ให้เป็นธรรม เราจะมีเงินมาดูแลประชาชน ปรับปรุงสวัสดิการ โรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก คูคลอง การบำบัดน้ำเสีย การจัดเก็บขยะ ฯลฯ ให้ดีกว่าเดิมได้ เราคงไม่ได้มีความสุขตลอดเวลาหรอก ความทุกข์ก็มี ความสุขก็มี มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ความรู้สึกที่แย่ที่สุดคือ ‘อยู่ไปวันๆ’ ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเมือง เป็นแค่ผู้อยู่อาศัย คนจนก็ต้องยอมรับชะตากรรม ผมต้องการคลายความรู้สึกแบบนี้ อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า เราเป็นเจ้าของเมืองร่วมกัน
“เราทุกคนต้องแก่ตัวลง ถ้าเมืองนี้เต็มไปด้วยคนที่แก่ตัวลง แต่ไม่มีสวัสดิการที่ดี ไม่มีเงินออมที่มากพอ มันคือเมืองต้องสาปเลยนะ ทุกวันนี้มีแต่วลีจากหนังลัดดาแลนด์ว่า 'กูออกไม่ได้ ออกแล้วจะเอาอะไรแดก' ถ้าเราทำให้คนมีสวัสดิการ มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มีความมั่นคง มีความกล้าที่จะจ่าย การบริโภคมากขึ้น เกิดการลงทุน เกิดการจ้างงาน ชีวิตก็มีความหวัง เมืองโอบรับความหวังแล้วทำให้คนกล้าทำตามความฝันของตัวเอง”
.
'วิโรจน์ ลักขณาอดิศร' ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 1

Belove Na Bangsai
ไม่เลือกคนนี้​ เสียดายแน่ๆ