ปลายเดือนนี้ (๒๙ เมษา) จะครบ ๔ ปีการรณรงค์ทวงคืนผืนป่า ๑๔๗ ไร่ ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมฮุบเอาไปสร้างบ้านพักและอาคารชุดอยู่อาศัยของตุลาการ (งบประมาณก่อสร้างกว่า ๙๕๕ ล้านบาท) ซึ่งในเดือนสิงหา ๒๕๖๑ คดีสิ้นสุด
“คณะกรรมการกำหนดแนวทางการดำเนินการในส่วนของสิ่งปลูกสร้างในกรณีก่อสร้างบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค ๕ มีมติร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่และเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพว่าให้รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกทั้งหมด พร้อมเปลี่ยนสภาพกลับคืนเป็นผืนป่า”
แต่พอถึง ๖ พฤศจิกาปีนั้น เจอทีเด็ดเกมโกงของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐประหาร คสช. “ให้ข้าราชการที่เข้าพักอาศัยแล้วสามารถอยู่ไปก่อนระหว่างรอการหาพื้นที่ใหม่สำหรับสร้างบ้านพัก” ขณะที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ช่วยหนุน
“มีมติให้ถอนศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ออกจากจังหวัดเชียงใหม่ไปยังจังหวัดเชียงราย” แล้วไม่เท่านั้น ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกาปีต่อมา (๒๕๖๒) สำนักงานศาลยุติธรรมฯ ใช้ชั้นเชิงเล่ห์อำนาจ ฟ้องร้องสองนักกิจกรรมทวงคืนหมู่บ้านป่าแหว่ง
เดชะบุญพนักงานอัยการอ่านสำนวนแล้วฟังไม่ขึ้น ในข้อหา ‘หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาฯ’ จึงสั่งไม่ฟ้อง ธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ และเรืองยศ สิทธิโพธิ์ จากนั้นคณะรณรงค์ก็เฝ้าแต่รอแล้วรออีก ว่าเมื่อไรจะมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและปรับพื้นที่คืนเป็นผืนป่า
ซึ่งจากการเข้าหารือกับศษลอุทธรณ์ภาค ๕ และธนารักษ์เชียงใหม่ ทราบว่าได้มีการทำเรื่องส่งคืนพื้นที่เรียบร้อยแล้ว รอแต่ขั้นดำเนินการ ยังไม่สามารถส่งคืนจริงๆ ได้ เพราะ “ขณะนี้ยังติดที่ข้อกฎหมายส่งมอบครุภัณฑ์ของกรมธนารักษ์”
เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าฯ จึงจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ธนารักษ์เชียงใหม่ใส่ใจทำงานกันหน่อยให้ลุล่วง อุตส่าห์ทนรอกันมาจะสี่ปีแล้ว การ “ผูกผ้าเขียว รอบคูเมือง ทวงคืนป่าแหว่ง” จึงเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ๙ เมษายน และจะมีการพูดคุยกับธนารักษ์อีกครั้ง ๑๕ เมษานี้
หวังกันว่าก่อนจะครบสี่ปีของการรณรงค์ ป่าแหว่งเชิงดอยแม่ริม จะได้กลับคืนสู่การเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ หลุดพ้นอาการแปดเปื้อนในความเอารัดเอาเปรียบของตุลาการเสียที