ของเหลือใช้เอามาทำโปรละสิ หมอทศพร (เสรีรักษ์) บอก “เราจะบริจาค AstraZeneca ๓.๐๕-๓.๕๕ ล้านโด๊สเซส ให้เมียนมาร์ ลาว เวียตนาม เนปาล เคนยา เอธิโอเปีย ขณะที่เรารับบริจาค (และซื้อ) Sinovac จากจีน แล้วเอามาไขว้เป็นเข็มแรก”
วันนี้เป็นข่าว ‘สรยุทธ์’ ว่าติดโควิดเพิ่มแค่ ๑๔,๓๗๓ ราย ลดลงไปนิด แต่จำนวนตายเพิ่มอีกหน่อย เป็น ๒๗ ราย (อ้อ แล้วอย่าลืมล่ะว่าติดจริง ๒๒,๐๗๔ ราย ต้องบวกอีก ๗,๗๐๑ จากการตรวจแบบ ‘เอทีเค’ เข้าไปด้วย) ไปดูสูตรไขว้ในรายละเอียดกัน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมฯ คนที่แนะว่า วาเล็นไทน์นี้ อยากมีเซ็กซ์ให้ช่วยตัวเองแทนไปก่อนนะ ออมิครอนกำลังอาละวาดอยู่ คุณหมอบอกว่าเนื่องจากมีการติดเชื้อในหมู่เด็กมากขึ้น จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนให้เด็กกันแล้วละ โดยจัดสูตรฉีดไว้ ๕ แบบ
เด็กเล็ก ๕-๑๑ ปี ให้ฉีดไฟ้เซอร์ไปเลยสองเข็ม ใช้ชนิดฝาส้มฉีดห่างกัน ๘ อาทิตย์ สำหรับเด็กวัย ๖-๑๑ ปี ‘สามารถ’ (เขาเลือกใช้คำนี้) ฉีดไขว้ ซิโนแว็คก่อน แล้วตามด้วยไฟ้เซอร์ฝาส้ม อีก ๔ อาทิตย์ให้หลัง ทั้งนี้อ้าง อย.และราชวิทยาลัยรับประกันคุณภาพ
พอมาถึงเด็กโตหน่อย อายุ ๑๒ ถึง ๑๗ มีสองสูตรให้เลือก อ้างว่าคุณภาพเท่ากัน สูตรหนึ่ง ‘แนะนำ’ ให้ฉีดไฟ้เซอร์ (ฝาม่วง) ทั้งสองเข็ม และทิ้งระยะห่างกัน ๓-๔ อาทิตย์ อีกสูตร อยากไขว้ก็ได้นะ เริ่มด้วยซิโนแว็ค พอสี่อาทิตย์ผ่านไปค่อยฉีดไฟ้เซอร์
สูตรสุดท้ายคลุมหมดตั้งแต่เด็ก ๖ ขวบถึงหนุ่มน้อยวัย ๑๗ ปี ให้ฉีดซิโนแว็คเลยทั้งสองเข็ม ทิ้งช่วงห่างกัน ๔ อาทิตย์ อันนี้อ้างว่ามีบางคนแพ้วัคซีนชนิด mRNA ก็เลยอลุ่มอล่วยให้ แต่ว่าเมื่อฉีดเข็มสองแล้ว ๔ อาทิตย์ ให้ไปฉีดไฟ้เซอร์เป็นบู๊สเตอร์
ทั้งหมดนั่นไม่มีการบังคับนะ ให้ผู้ปกครองตัดสินใจแทนลูก แหม่แบบนี้พวก ‘novaxx’ ในอเมริกาและแคนาดาชอบตายเลย ถึงอย่างนั้นไทยก็โดนขบวนรถบรรทุกประท้วงไปแล้วเหมือนกัน แต่หนักไปในทางที่ว่าจะอดตายเพราะรัฐบาลไร้น้ำยา
(ที่สะพานข้ามเขตแดนสหรัฐ-แคนาดา การประท้วงของขบวนรถบรรทุกปิดเส้นเลือดหลักของการขนส่งระหว่างสองประเทศ มากว่าอาทิตย์แล้วยังไม่เลิก จนนายกฯ ทรูโด แถลงว่าจะขุดกฎหมายให้อำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉินออกมาใช้ละนะ)
นี่ไง เพราะรัฐบาลมีแต่ขนมจีน จึงต้องใช้วิธีพลิกแพลงหาเงินเข้ารัฐให้ได้บ้าง ขณะที่การแจกเงินหาเสียงก็ยังต้องทำ ในเมื่อเสียงปริ่มเสียจนเม้าท์กันให้แซ่ดทั้งฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ ว่าเห็นทีตู่อาจจะต้องจำลา “ถามมาก็ตอบไป” อย่างเฮียป้อมว่า คงไปได้ไม่กี่น้ำ
ก็เลยมีลูกเล่น ชั้นเชิง ‘อัฐยายซื้อขนมยาย’ เอามาคละอยู่ในประชานิยม ตอโผล่ก็เมื่อผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ รายหนึ่งเกิดโวยขึ้นมาว่า โดนสรรพากรไล่บี้ภาษีย้อนหลัง ร้อนถึงโฆษกกระทรวงคลังต้องแจง
ได้คำตอบว่าต้องยื่น พอเป็นข่าวสะพัดไป ชาวบ้านก็เริ่มด่าสิ อะไรวะช่วยชาติแล้วยังต้องเสียภาษีอีก ทั่นโฆษกฯ จึงต้องแก้ต่างว่า สรรพากรพบว่ารายได้ของผู้ประกอบการรายนั้นเกิน ๑.๘ ล้านบาท เข้าข่าย “มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษี”
ลงเอยว่าโครงการคนละครึ่งใช้หลักการ ลดค่าใช้จ่ายผู้บริโภคแล้วทำให้ผู้ประกอบการรายได้เพิ่ม แต่เมื่อรายได้เพิ่มจนถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็ต้องเดินตามระเบียบนั้น ตีความได้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจชนิดนี้ คือการหว่านเงินให้เก็บมาใช้คืนรัฐบาล
หลักการคลังธรรมดา แต่รัฐบาลประโคมโฆษณาชวนเชื่อว่านี่นะ พวกเราชาวตู่ช่วยเหลือประชาชน พูดกำกวมว่านี่นะรัฐบาลจัดสรรให้ พร้อมกันไปกับคณะรัฐมนตรีจัดระเบียบการใช้จ่ายเงินจากคลังเสียใหม่ ถ้าไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท
จุดใหญ่ก็คือให้หน่วยงานจัดสรรงบประมาณทำการประกวดราคาจัดซื้อ-จัดจ้างทางอีเล็คโทรนิค (วิธี e-bidding) ถ้าวงเงินระหว่าง ๕ แสนถึง ๑๐ ล้านบาท “ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ” จะรับฟังเสียงผู้ประกอบการหรือไม่ก็ได้
ถ้าไม่เกิน ๑๐๐ ล้าน ให้หน่วยงานนั้นเผยแพร่ประกาศประกวดราคา ในเวลาไม่น้อยกว่า ๓ วัน หากวงเงินเกิน ๑๐๐ ล้าน ต้องแจ้งการประกวดราคาไม่น้อยกว่า ๒๐ วัน นัยว่าระเบียบการใหม่นี้จะทำให้หน่วยงานรัฐจ่ายคล่องขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
ด้วยข้ออ้างเพียงว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้น ทั้งที่กระตุ้นกันมาแบบนี้ไม่รู้กี่หนจนหนี้สินของรัฐบานเบอะ นี่ก็เข้าปีที่แปดแล้ว ไม่มีวี่แววเศรษฐกิจกระเตื้องสักนิด
(https://www.posttoday.com/finance-stock/news/674634, https://www.pptvhd36.com/news/166304 และ https://www.facebook.com/1485992028368941/posts/2800155260285938/)