“ศบค.จะมีการประชุมวันพรุ่งนี้ (๗ ม.ค.๖๕)” จะมีการยกระดับเตือนภัย ‘ออมมิครอน’ จาก ๓ ไปเป็น ๔ “เนื่องจากมีการแพร่ระบาดวงกว้าง ขอความร่วมมือไม่รวมกลุ่มทำกิจกรรม ชะลอเดินทางข้ามเขต เล็งปิดสถานที่เสี่ยงบางจำพวก”
เนื่องจากจำนวนติดเชื้อใหม่วันนี้ ถีบพรวดขึ้นไป ๕,๗๗๕ ราย แต่จำนวนตายยังไม่พุ่ง แค่ ๑๑ ราย อย่าเพิ่งนอนใจ รัฐบาลเขาไม่ได้นิ่งอยู่แล้วละ เพียงแต่เคลื่อนที่ด้วยปาก บ่อยครั้งบางคราวมันไปไม่ถูกทาง อย่างที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สั่ง
“ลุยเช็กสต๊อกและแจ้งราคา แก้วิกฤตเนื้อหมูแพง” พบว่า “ตัวเลขเบื้องต้นในปี ๒๕๖๔ มีการเลี้ยงสุกรป้อนเข้าสู่ตลาดประมาณ ๑๙ ล้านตัว บริโภคในประเทศ ๑๘ ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ ๑ ล้านตัว” แต่ปีนี้จะมีหมูเหลือในตลาดแค่ ๑๓ ล้านตัว
เท่ากับว่าปีเสือนี่มีหมูขาดตลาดการบริโภคในประเทศ ๕ ล้านตัว กระทรวงพาณิชย์จึงแก้ปัญหาด้วยการสั่งงดส่งออก ‘สุกรมีชีวิต’ ไปต่างประเทศเป็นเวลา ๓ เดือน เริ่มวันนี้ ไปสิ้นสุด ๕ เมษา หลังจากนั้นค่อยพิจารณาใหม่ว่าสมควรต่ออายุคำสั่งห้ามหรือไม่
นอกนั้นยังสั่งการว่า “ให้ผู้เลี้ยงสุกรที่มีปริมาณการเลี้ยงเกิน ๕๐๐ ตัว ผู้ค้าส่งที่มีปริมาณเกิน ๕๐๐ ตัว ห้องเย็นที่มีการเก็บสต๊อกเกิน ๕,๐๐๐ กิโลกรัมขึ้นไป ให้ดำเนินการแจ้งสต๊อกให้กรมการค้าภายในรับทราบ รวมทั้งแจ้งราคาในทุก ๗ วัน” เริ่มวันที่ ๑๐ มกรา
ข้อสำคัญจะมีการควบคุมราคา โดย “กำหนดให้มีการติดป้ายราคาจำหน่าย ห้ามขายเกินราคาป้ายที่กำหนดไว้...กำกับราคาไม่ให้เกิดการค้ากำไรเกินควร” แต่ “ถ้าต้นทุนสุกรสูงขึ้นจริงจำเป็นต้องขายราคาหน้าฟาร์มสูงขึ้น ก็ให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย”
อีกมาตรการ ส่งเสริมการเลี้ยงสุกรเพิ่มขึ้น ธนาคารเพื่อการเกษตร ‘ธ.ก.ส.’ เปิด “สินเชื่อพิเศษอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นการเฉพาะ ทั้งสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ, สินเชื่อ Food Safety และสินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท”
แต่ผู้จัดการ ธกส.บอกว่าปัจจุบันไทยมีผู้เลี้ยงสุกรราว ๑๙๐,๐๐๐ ราย ๙๐ เปอร์เซ็นต์เป็นรายย่อย ซึ่งผลิตสุกรเข้าสู่ตลาดได้แค่ ๓๐% นอกนั้นผู้เลี้ยงรายใหญ่และขนาดกลางซึ่งมีเพียง ๓% เป็นผู้ผลิต ๗๐% รวมแล้วทำให้ควรมีจำนวนหมูในตลาด ๒๒ ล้านตัว
แต่สองปีที่ผ่านมาเกิดโรคระบาดในหมู่ประชากรสุกรไทย เรียกว่า ‘อหิวาห์หมู’ ซึ่งตลอดสองปีไม่มีปัญญาแก้ไข ทำให้ผลผลิตสุกรเพื่อการบริโภคลดลงไปเหลือ ๑๘ ล้านตัวต่อปี แล้วจะลดต่อไปอีกเหลือ ๑๓ ถึง ๑๕ ล้านตัวในปีนี้ ดังกล่าวแล้ว
เป็นอันว่าปัญหามันวนลู้บยังไงอยู่นะ การระงับส่งออก ๓ เดือนแค่ ๑ ล้านตัว ก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ได้แต่ถือเสียว่ากำขี้ดีกว่ากำตด แล้วการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงสุกรเพิ่ม ก็จะไม่ช่วยอะไรได้ภายในปีนี้ หรืออาจไม่ใช่ปีหน้าปีโน้นด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นข้อมูลที่นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือเพิ่งเผย ว่าวันพระที่จะถึง ๑๐ มกรานี้ “หมูเนื้อแดงที่ตลาดปลายทางมีโอกาสปรับขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ ๒๖๐ บาท ส่วนหมูสามชั้นปรับขึ้นไปแล้วกิโลกรัมละ ๒๘๐ บาท” ภายในสิ้นเดือนนี้ถึงโลละ ๓๐๐ แน่ๆ
ด้านนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เข้ามาเสริม “ว่าราคาหมูจะยังคงสูงขึ้นไปจนถึงช่วงตรุษจีน และอาจลามไปถึงช่วงสงกรานต์ เพราะขณะนี้พ่อแม่พันธุ์ไม่มี หมูที่เลี้ยงในฟาร์มก็ล้มตายไปจำนวนมากจากโรคระบาด” นี่คือปัญหาตัวจริงที่ไม่ได้แก้
จึงมี ‘บอดี้สแลมหมู’ เกิดขึ้น “ถึงขนาดมีวิ่งระดมทุนเพื่อช่วยซื้อยาฆ่าเชื้ออหิวาต์หมู” 𝕄𝕠𝕦𝕚™@moui นำเอาคำปรารภจากสัตวแพทย์มาเล่าบนทวิตภพ ว่าคนเลี้ยงหมูเขารอวัคซีนแก้อหิวาห์หมูจากเวียดนามเข้ามาบ้านเรา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมา
เขาถกกันอยู่ว่าเชื้อโรคหมูดังกล่าว (เรียก ‘AFS’) นั้นอยู่ในดิน บริษัทเจ้าสัวซีพีรู้ดี ถึงขั้นระบุพื้นที่มีเชื้อที่ซีพีจะไม่รับซื้อจากคู่ค้าข้าวโพด เมื่อ ตุลา ๖๔ โน่นแล้ว พิษณุโลก อุตรดิตถ์ หลายอำเภอโดนแบล็คลิสต์ เรื่องอย่างนี้รัฐบาลไหงทำไม่รู้
หรือว่าโง่จริง จุดนี้ถ้าแก้แต่แรกปีที่แล้ว ให้สามารถผลิตหมูได้ ๒๒ ล้านตามสมรรถนะ ปัญหาหมูขาดแคลน ราคาแพงก็จะไม่เกิดตอนนี้ ใช่ไหมล่ะ
(https://bit.ly/32K2Kfx, https://www.facebook.com/thestandardwealth/photos/a.183297416759288/467936584962035 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2939867029639503)