วันเสาร์, มกราคม 08, 2565

ปู่แท้ๆ ข่มขืนหลาน 12 ขวบ จนท้อง 8 เดือน ให้เงิน 200 ขู่ห้ามบอกใคร - ไทยเป็นระเทศที่มีวัฒนธรรมข่มขืนที่ฝังลึกมากๆ ปัญหาการข่มขืนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อยู่ในแทบทุกโครงสร้าง ครอบครัว การศึกษา ยุติธรรม...


การอนุญาตให้ทำสิ่งแย่ๆ ขนาดเล็ก อาจหล่อหลอมให้คนคนนึงเห็นแก่ตัวในเรื่องใหญ่ๆ ได้

แผนภูมิ รากฐานของการข่มขืน

Thaiconsent
พฤศจิกายน 2, 2019

สงสัยไหมว่า
  • ทำไมคนถึงข่มขืน
  • ทำไมการโทษเหยื่อถึงไม่ดี
  • รากฐานของความรุนแรงทางเพศ คืออะไร?
เราเลยแปลชาร์ตมาจากองค์กร 11thPrincipleConsent และเขียนให้เข้าใจง่ายกับบริบทของบ้านเราอีกที
รากฐานของการข่มขืน หมายถึง

ชุดความคิดที่ทำให้เราเข้าใจว่าเวลาคนคนนึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงกับคนอีกคน ความคิดของเค้าก่อรูปมาจากอะไร เพราะหลายครั้งคนที่ข่มขืนไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้าย เค้าอาจคิดจริงๆ ว่าสิ่งที่เค้าทำมันปกติเพราะ “ใครๆ ก็ทำกัน”

👉 ซ้ำร้ายคือ ในคนที่ลงมือข่มขืน มักไม่คิดว่าตัวเองกำลังข่มขืนอีกฝ่ายถ้าตัวเองไม่เห็นสัญญาณต่อสู้หรือไม่เห็นการปฏิเสธอย่างรุนแรง (ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีสติ เอาแค่ยืนเองยังยืนไม่ได้ก็ตาม)

👉 รู้มั้ยว่านักข่มขืนหลายคนไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดต่อเหยื่อ แต่คิดว่าตัวเองโชคไม่ดีที่โดนจับได้หรือเหยื่อไม่ยอมเงียบแบบที่เหยื่อคนอื่นมักจะทำกัน

👉 นักข่มขืนอาจรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ ต่อองค์กร เพราะการโดนจับได้และถูกประนามเป็นการทำร้ายอนาคตตัวเองหรือทำให้เสียชื่อเสียงโดยตรง แต่ย้ำอีกครั้ง “ไม่รู้สึกผิดต่อเหยื่อ” เพราะคิดว่าใครๆ ก็ทำกัน แต่ตัวเองซวยที่โดนจับได้แค่นั้นเอง

อะไรทำให้คนคนนึงถึงคิดว่าตัวเองข่มขืนคนอื่นได้ ?????

👁ในปิรามิดความรุนแรงนี้อธิบายว่า ความรุนแรงมีหลายระดับ ระดับบนสุดคือความรุนแรงที่มองเห็นได้ง่าย เพราะเกิดความเสียหายแก่ร่างกายหรือชีวิตของเหยื่อ ส่วนปิรามิดลำดับล่างๆ ลงมา เป็นความรุนแรงที่ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่สร้างความเสียหายแก่ “อำนาจในตัวเอง” “คุณค่าในตัวเอง” และลำดับล่างสุดคือสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเรียนรู้ว่า “ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ” จนกล้าที่จะตัดสินใจกระทำการในขั้นบนๆ ได้ในที่สุด

👁 แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่เล่นมุกตลกข่มขืนจะเป็นคนที่ข่มขืนคนอื่นเสมอไป หลายคนอยู่ที่ระดับสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยกันพูดว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ แต่อย่าลืมว่าคำพูดของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากคิดว่า “เรื่องปกติ = ทำได้” เพราะพวกเค้าเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมมาอีกที ลองจินตนาการถึงพัฒนาการทางความคิดต่อไปนี้ดู…

พัฒนาการของการใช้ความรุนแรงทางเพศ

📌 ยอมรับว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ : หมายถึงการคิดว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวโดยสันดานโดยที่สังคมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ เราจึงปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นกับคนอื่น ขอแค่มันไม่เกิดกับตัวเองและคนที่เรารักก็พอ ซึ่งมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะป้องกันตัวเองและไม่ได้รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่น

แต่ ! ความหลอนจะเกิดขึ้นเมื่อคนจำนวนนึงเรียนรู้จากสังคมว่า “ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นฉันสามารถทำกับคนอื่นได้หนิ โดยเฉพาะคนที่ปกป้องตัวเองได้ไม่ดีพอ” คนเหล่านี้จะพัฒนา ไปสู่ผู้ใช้ความรุนแรงเลเวลถัดไป

📌 เริ่มลดคุณค่าของอีกฝ่าย : เมื่อคนกลุ่มดังกล่าวเริ่มคิดว่า “งั้นเราก็แสดงอำนาจเหนือคนอื่นได้สิถ้าอีกฝ่ายเอาคืนเราไม่ได้” เขาก็จะสามารถปล่อยคลิปแก้แค้น แอบถ่ายรูป ส่งรูปโป๊ให้โดยไม่ได้ขอ ตามตื๊อ การสตอล์ค ทำตัวสนิทสนมเกินเลยจนอีกฝ่ายลำบากใจ หรือใช้วาจาคุกคาม แซวแบบน่ากลัว เพราะต่อให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ผู้คุกคามก็สามารถพูดได้ว่า “มันยังไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นหนิ” “เธอแหละคิดมากไป” “ใครๆ ก็ทำกัน”

จะเห็นได้ว่าผู้กระทำเริ่ม “ละเมิดพื้นที่ของอีกคน” โดยเฉพาะ “คนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้และไม่มีปัญญาเอาคืนแน่ๆ” เพื่อตอบสนองความรู้สึก “เหนือกว่า” ของผู้กระทำ และลดคุณค่าของอีกฝ่ายจากคนที่มีความรู้สึกไปสู่คนที่ “ฉันไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเธอจะรู้สึกยังไง เพราะยังไงคนอื่นก็ไม่เข้าข้างเธอหรอกนะ”

และเมื่อไม่มีใครห้าม หรือเรียนรู้ว่าไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้ พวกเขาก็จะเริ่มอีโวไปสู่ขั้นถัดไป

📌 เริ่มลดอำนาจของอีกฝ่าย : ความเหิมเกริมในข้อนี้เกิดจากความชินชาในข้อหนึ่งและข้อสอง จนทำให้คิดว่า “ต่อให้เธอไม่โอเค ฉันก็จะทำให้เธอโอเคให้ได้” “เธอน่าจะชอบ” “เธอน่าจะโอเค” การคิดแทนเหล่านี้แสดงออกผ่านการการบังคับทางเพศด้วยเทคนิคต่างๆ มอมเหล้ามอมยา ข่มขู่ สัมผัสโดยอีกฝ่ายไม่ยอม หรือต่อให้อีกฝ่ายแสดงสัญญาณปฏิเสธก็ยืนยันที่จะทำต่อไปเพราะมั่นใจมากๆ ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสู้ตัวเองได้ หรือไม่ก็มั่นใจมากๆ ว่าเดี๋ยวเธอก็จะชอบ เธอต้องชอบแน่ๆ คือโคตรมั่นใจในตัวเองแบบสุดๆ

ความมั่นใจในตัวเองเบอร์นี้ทำให้คนพวกนี้คิดว่า “ถ้าอีกฝ่ายไม่ด่าไม่โวยวาย แปลว่าเธออาจจะชอบ” หรืออาจเริ่มคิดแทนไปแล้วว่า การนิ่ง คือการยินยอม

จากเดิมที่ “ขอแค่ไม่ถูกจับได้” ความคิดคนเหล่านี้อาจจะอีโวไปถึงจุดที่คิดว่า “ต่อให้ถูกจับได้ยังไงเราก็มีทางรอด” เช่น ยังไงเหยื่อก็มีส่วนผิดด้วย ยังไงก็จะมีคนเข้าข้างเรา ฉันมีเพื่อนเยอะ ฉันรู้จักตำรวจ เรื่องนี้ใช้เงินปิดปากได้ ฯลฯ

📌 ใช้ความรุนแรงที่เห็นได้ด้วยตา : ข่มขืน รุมโทรม ลวนลาม รุนแรง ฆ่า เหล่านี้เราคงไม่ต้องอธิบายว่ามันเลวร้าย เพราะใครๆ ก็เข้าใจว่าทำแล้วเกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายยังไง

แต่ที่อยากย้ำคือ คนที่ทำข้อนี้ ขณะทำก็ยังเข้าใจว่าตัวเองทำเรื่องปกติ หรืิอคิดว่า “ไม่ได้ข่มขืนซักหน่อยเธอไม่ปฏิเสธชัดๆ เองนี่” เพราะตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครเตือน ไม่มีใครบอกว่าอย่าทำ อย่างเดียวที่พวกเขาเรียนรู้คือ “ทำได้แต่อย่าโดนจับได้” “โดนจับได้แล้วยังไงก็รอด” “เดี๋ยวคนก็ลืม” “เดี๋ยวก็มีคนเข้าข้าง” ไปจนถึง “ยังไงเราก็ได้ผิดขนาดนั้น สังคมต่างหากที่เวอร์เกินควร”

😔 ข่าวเศร้าจึงเกิดขึ้นรายวัน เพราะสำนึกที่สร้างอาชญากรมีเท่าเดิม!

⭐️ แล้วเราจะทำให้สังคมดีขึ้นได้อย่างไร ?????

⭐️ จริงๆ แค่เข้าใจภาพนี้ก็ช่วยได้มากแล้ว ถ้าเรารู้ตัวว่า “คนเรียนรู้เรื่องเพศจากสังคมและเพื่อนมากกว่าโรงเรียน ตำรวจ และพ่อแม่” เราก็จะตระหนักถึงบทบาทของตัวเองในการสร้างบทสนทนาในสังคม

⭐️ แค่เข้าใจว่า “ลดเหยื่อไม่เท่ากับลดอาชญากร แต่ลดว่าที่อาชญากรเท่ากับลดเหยื่อ” วิธีการที่เราพูดกับคนอื่นๆ หรือการสร้างค่านิยมสาธารณะก็จะเปลี่ยนไป

⭐️ แค่ไม่ยอมรับว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ก็ช่วยได้มาก อย่างน้อยที่สุดคุณก็ไม่ได้ซ้ำเติมให้เหยื่อคนไหนเจ็บช้ำน้ำใจจนเก็บเงียบ และไม่ได้ทำให้คนใช้ความรุนแรงได้ใจ

⭐️ แค่ตระหนักว่าสังคมเป็นครูของคน การสอนให้ระวังตัว พ่อแม่ของทุกคนย่อมสอนลูกหลานอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่จะสอนลูกหลานไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับคนอื่น … เรื่องนี้สังคมและสื่อช่วยได้ เหมือนที่เราสร้างค่านิยมอื่นๆ ในสังคมอย่างการไม่คดโกง ไม่ลักขโมย ไม่เอาเปรียบไม่ฉวยโอกาสนั่นเอง

⭐️ เงียบอาจแปลว่ากลัว นิ่งอาจแปลว่าไม่ชอบแต่ไม่กล้าโวยวาย หลับ ลุกยืนไม่ได้ ไม่ใช่คำเชิญให้ทำ

⭐️ ชวนกันลดละเลิกการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนใช้ความรุนแรงกับคนอื่น เราป้องกันตัวเองป้องกันคนที่เรารักเนี่ยดีแล้ว แต่เรื่องไม่ไปทำคนอื่นก็ต้องช่วยกันพูดด้วย ก็อยากให้ตระหนักว่าสังคมเป็นครูของคนจริงๆ เพราะการห้ามคนไม่ให้ทำเรื่องแย่ๆ บางทีพ่อแม่ โรงเรียน ไม่ได้สอน แต่สังคมสอนได้

#ลดเหยื่อไม่เท่ากับลดอาชญากร #ลดว่าที่อาชญากรเท่ากับลดเหยื่อ #สังคมเป็นครูของคน #ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติ
...
Nithiwat Wannasiri
23h ·

Via มิตรสหายท่านหนึ่ง
สำหรับเรา สาเหตุที่ความเห็นของ 'ชาวเน็ต' ต่อเคสหัวหน้า รปภ. ที่ข่มขืนลูกบ้านเป็นไปในทางเดียวกัน (ประณามสาปส่งผู้กระทำ สงสารผู้ถูกกระทำ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคสนี้มันชัด มันตรงกับภาพจำของ #การข่มขืน ที่พวกเรารับรู้มาก่อน เหมือนฉากตัวโกงในหนังที่มักมีหน้าตาชั่วร้าย พื้นเพชั่วร้าย มาข่มขืนนางเอกด้วยวิธีชั่วร้าย (เช่น จับใส่กุญแจมือระหว่างข่มขืน) และนางเอกที่ถูกกระทำก็จะแสดงท่าทีต่อต้านอย่างชัดเจน สุดแรง
.
ไม่ได้จะบอกว่าการที่เคสนี้ตรงกับภาพจำเดิมของผู้คนแปลว่าเคสมันไม่จริง มันจริงแหละ มีเคสที่สังเกตได้ชัดแบบนี้เกิดขึ้นจริง ความเจ็บปวดจากการถูกข่มขืนทุกรูปแบบเป็นของจริง แต่ประเด็นก็อยู่ตรงนี้ -- การข่มขืนไม่ได้มาเฉพาะในรูปแบบที่ "สังเกตเห็นง่าย" ตรงกับภาพจำของผู้คนอย่างที่ละครบอกเราอย่างเดียวเท่านั้น
.
แล้วผู้คนก็เลือกที่จะสงสารเหยื่อ/ ประณามนักข่มขืนเฉพาะเคสที่สังเกตได้ง่าย แต่ในเคสที่ซับซ้อน กลับพบว่าหลานครั้งคนที่ถูกประณามจากสังคมคือผู้ถูกกระทำเสียเอง
.
ที่จริง การข่มขืนบางกรณีไม่ได้เกิดจากผู้กระทำที่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูชั่วร้าย หลายกรณีผู้กระทำเสือกเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม มีหน้าที่การงานดี มีจุดยืนเคียงข้างประชาธิปไตย เป็นที่รักของผู้คน, บางกรณีไม่ได้ใช้กำลังข่มขู่บังคับ กุญแจมือไม่ใช่ของจำเป็นเลยสำหรับนักข่มขืน ในบางกรณีผู้กระทำเพียงแค่หว่านล้อม บีบบังคับ หลอกหลวงให้เหยื่อดูเสมือนว่าเต็มใจเอง
.
และในหลายกรณีเหยื่อมักต้องการเวลาทำความเข้าใจ "เหตุการณ์" ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่ใช่ทุกกรณีจะตระหนักได้ในวินาทีที่ถูกเย็- ว่าสิ่งที่ตัวเองเจอเรียกว่าการข่มขืน ไม่ใช่ความสัมพันธ์
.
ที่จริงมีคนเสนอให้นับว่า การที่ผู้กระทำที่เป็นแฟน/สามี-ภรรยากันแอบถอดถุงยางระหว่างมีอะไรกัน = ข่มขืน, การที่ผู้กระทำปิดบังเรื่องมีครอบครัวอยู่แล้วก่อนมีอะไรกัน หรือจงใจหว่านล้อมก่อนจะผิดข้อตกลงก็ = ข่มขืน เพราะใจความสำคัญของการข่มขืนคือการละเมิดข้อตกลง การไม่เคารพความยืนยอม (consent) ของอีกฝ่าย
.
เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คนหันมาเห็นถึงความรุนแรงจากการถูกข่มขืนจากเคส รปภ. รายนี้ แต่แค่อยากชี้ให้เห็นว่าการข่มขืนมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามความซับซ้อน แต่ทุกเคสควรได้รับการปฏิบัติจากสังคมไม่ต่างกัน คือต้องโอบรับผู้เสียหาย เพราะความเจ็บปวดทุกรูปแบบเป็นของจริง ไม่ว่ามันจะมาในรูปร่างหน้าตาที่เราคุ้นเคยหรือไม่ก็ตาม
.
หมายเหตุ: ชั่งใจอยู่ว่าอาจจะไม่เขียนถึงเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าใช้พลังงานกับมันมาเยอะแล้ว แต่พอบังเอิญอ่านโพสต์ของคนอื่นที่เจอเรื่องคล้ายๆ กันก็คิดว่าเอาวะ มาเรย แม่งคือความเจ็บปวดสากลที่ต้องมีใครสักคนประสาทแดกแหกปากมาบ้างแหละโว้ย .