ที่ทำกับ ‘สมณะดาวดิน’ นั่นเข้าขั้น ‘อัปรีย์’ แล้วละ พระสงฆ์องค์หนึ่งนั่งอดข้าวประท้วงความนอกลู่ครรลองยุติธรรมของศาลอาญา ไม่เพียงหักหาญนำตัวไปปลดจีวรแล้วยังตามรังควาญไม่สุดสิ้น ทั้งที่ท่านไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขา หาว่าเลียนแบบสมณะเสียอีก
ฝ่ายบ้านเมืองละเมิดสงฆ์เช่นนี้ มิเพียงใช้อำนาจอธรรมย่ำยีสิทธิมนุษยชน ยังบังอาจก้าวล่วงล้ำกิจสมณะ แม้แต่ศาลเองวางเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวว่า “ห้ามแต่งกายเลียนสงฆ์ตามที่ถูกกล่าวหา” ก็ถือว่าหยามหมิ่นกฎหมายที่ตนควรต้องรักษาปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นหลักกฎหมาย (นิติธรรม) หรือหลักสามัญสำนึกของมนุษย์ การกล่าวหาไม่ทำให้เกิดความผิดจนกว่าจะพิสูจน์แจ่มแจ้งแล้วว่าได้กระทำ ‘ผิด’ ในความเป็นจริง มิใช่ตามความรู้สึกของผู้มีกล้ามโต หากจะยึดถืออย่างนั้น ผู้ด้อยกว่าย่อมไขว่คว้าเครื่องมือเสริมมาใช้ปกป้องตนเองได้
แต่ว่าสมณะ ‘ปฐวัตโต’ มิได้มีความคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย ท่านเพียงยืนยันความถูกต้องตามหลักศาสนา ที่จะบำเพ็ญทุกข์ทางกายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแห่งมนุษยชน แม้นถูกบังคับข่มเหงถอดเอาเครื่องห่มกาสาวพัสตร์ออกไปจากร่าง จึงได้ห่มกลักรักษาสถานะไว้
ตำรวจ สน.พหลโยธินไม่วายกักขฬะเข้าจับกุมอีกเป็นคำรบสอง เหตุนี้ทำให้ ‘ครูใหญ่’ อรรถพล บัวพัฒน์ จำต้องร้องทุกข์กล่าวโทษ “สมณะโพธิรักษ์และสมณะรูปอื่นๆ ของสำนักสันติอโศกด้วยข้อกล่าวหาเดียวกับที่ใช้ดำเนินคดีสมณะดาวดิน”
เพื่อเคาะกะโหลกเหล่าเปรตในเครื่องแบบทั้งหลาย “สะท้อนปัญหาของกฎหมายเกี่ยวกับการศาสนาที่บังคับใช้ในประเทศไทย...ชี้ให้เห็นว่าเมื่อมีการใช้กฎหมายนี้กับสมณะที่มีความเห็นต่างจากรัฐ” ก็ต้องบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันให้ถ้วนหน้า
พระสงฆ์องค์นี้ยินดีไปตามเจ้าหน้าที่สั่งอย่างคัมภีรภาพ หลังได้รับการปล่อยตัวแล้วกลับไปประกอบกิจกรรมนั่งอดข้าวต่อ กลับพบว่าบริเวณที่นั่งเดิมมีคนเอาน้ำตาลไปโรยไว้เต็ม เรียกมดไปสวนสนามกันอยู่ทั่วบริเวณ เห็นความทรามของผู้กระทำ
จนทนายสิทธิมนุษยชนอย่าง Yaowalak Anuphan ถึงกับบริภาษณ์ว่า “เชี่ยเกินไปแล้ว” จะยัดข้อหา ม. ๑๑๒ เหมือนผู้ประท้วงอื่นๆ คงทำไม่ได้ ตั้งข้อหาอื่นก็แล้ว มีหมายย้อนหลังฐานฝ่าฝืน พรก.ม็อบ ครบทุกทาง “ยังจะเอาน้ำตาลมาโรยให้มดมาอีก” อมนุษย์
แต่แล้วกับพวกวิชาชีพพิพากษาตลาการ ที่ยกย่องกันนักหนาว่าสูงส่งทรงเกียรติ แล้วเดี๋ยวนี้เที่ยวไปตัดสินนักกิจกรรมเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันฯ ก่อนมีการพิจารณาคดี กำหนดหลัก ‘นิติอธรรม’ ขึ้นมาใหม่ “ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง” เดิม
ตัวดีตัวร้ายโดดเด่นกว่าใครต้อง ชนาธิป
เหมือนพะวงศ์ ผู้พิพากษาเลือดเย็นที่เคยส่ง ‘อากง’ ไปตายในคุก ทั้งที่ไม่มีหลักฐานเอาผิดตามข้อกล่าวหาได้สักอย่าง
ตัดสินด้วยปากคำของผู้กล่าวหาเท่านั้น มาทุกวันนี้เล่นบทเดิมกับแกนนำคณะราษฎร
“แม่เพนกวินยื่นขอประกันตัวลูกชายต่อศาลอาญาใน ๒ คดี โดยวางหลักทรัพย์คดีละ ๒ แสน ระบุมีอาการทรุด เชื่อสุขภาพอยู่ในขั้นอันตรายแก่ชีวิต” ศาลของชนาธิปยกคำร้องตามเคย จนพูดกันหนาหูว่านี่คือคำสั่งฆ่า พริษฐ์ ชีวารักษ์ ในคุก
อีกคน ชีพ จุลมนต์ เมื่อครั้งยังเป็นประธานศาลฎีกาก็ไม่หยอกกับการไล่ล่าผู้คนในฝ่ายการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร ใครอย่าได้หลุดเข้าไปถึงศาลของทั่น เป็นไม่รอดปากเหยี่ยวสักราย หลังเกษียณได้ไปนั่งเป็นประธานกรรมการบริษัทพลังงานอย่างอูฟู
Taweezak Woraritrueangurai ปฏิสัมพัทธ์ออนไลน์กับ Thanapol Eawsakul ต่อการที่ชีพได้เข้าเป็นกรรมการบรรษัท “เข้าใจว่า รมต.คลังยังต้องเว้น ๒ ปีหลังจากพ้นตำแหน่ง จึงจะสามารถไปเป็นที่ปรึกษาของสถาบันการเงินได้” ทำไมฝ่ายศาลไม่ยักมี
“มาตรฐานต่ำกว่าอีกเหรอ” คงใช่ ในเมื่อมาตรฐานการ ‘ฉ้อราษฎร์บังหลวง’ ก็ต่ำ (ช้า) เช่นกัน มันไม่สะทกสะท้านเกรงกลัวต่อบาปอันใด ในเมื่อบริษัทกัลฟ์ซึ่งชุบเลี้ยงอุ้มชูชีพหลังเกษียณ เป็นของนักธุรกิจใหญ่ท่อน้ำเลี้ยงคณะรัฐประหาร
ดังธนาพลชี้ว่าคนที่ป้อนข้าวประธานศาลสูงยามชรา ‘เสี่ยกลาง’ สารัชถ์ รัตนาวะดี นี้ “เป็นหนึ่งในเครือข่ายป่ารอยต่อและกระเป๋าเงินของ ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ หัวหน้าพรรครัฐบาล พปชร. จึงทำให้อดีตประธานศาลสามารถส่งน้องชายไปเป็น สว.ตู่จิ้ม
สัญชัย จุลมนต์ “ประวัติทั่นน่าสนใจมาก เป็นอดีตผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ คนแรกในรอบ ๗๕ ปี ที่ถูกลูกน้องทั่วประเทศเดินขบวนขับไล่ ด้วยข้อกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ในการสรรหา เรื่องนี้ถูกปูดโดย วีระ สมความคิด
นี่ละประเทศไตแลนเดียยุคที่ demagogues จัณฑาลทางการเมือง ‘อมอำนาจแน่นไม่ยอมคาย’
(https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1495335, https://www.facebook.com/photo/?fbid=1051927628548999&set=a.138763206532117 และhttps://www.facebook.com/photo?fbid=1940849052741111&set=pcb.1940849119407771)