เป็นสถิติที่น่าทึ่งระคนสะพรึงกลัว
เมื่อครบ ๗ วันมาตรการห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล (สี่ทุ่มถึงตีสี่) เพื่อสกัดกั้นการแพร่เชื้อโควิด-๑๙
ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มเกือบ ๕๐๐ ราย แต่กลับมีผู้ถูกดำเนินคดีฐานละเมิดคำสั่งเกินกว่า
๕ พันราย
อาจแสดงว่าสังคมไทยไม่กลัวไวรัส ไม่เช่นนั้นคงไม่ยำเกรงต่อคำสั่งผู้ปกครอง
หรือว่าที่แท้เป็นเพราะสังคมนี้นิยม ‘ใช้การบังคับ’ กันแน่ ดังที่นักวิชาการท่านหนึ่งของสำนัก มธ.วิเคราะห์ไว้
ว่าโควิดทำให้การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเบ่งบาน
ในเมื่อปรากฏว่าผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดี ‘เคอร์ฟิว’ จำนวนมากเป็นผู้มีสัมมาอาชีพซึ่งจะต้องออกนอกบ้านยามวิกาล
เช่นคนส่งยาและอุปกรณ์การแพทย์ บุคคลากรทางการแพทย์ เช่นพยาบาล กับคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัย
คนเหล่านั้นถูกดำเนินคดี
เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าขัดคำสั่ง จะจำเป็นอย่างไรก็ตาม คำสั่งสำคัญกว่า หรือว่าช้าไปไม่กี่นาฑี
ผิดเป็นผิด เช่นเดียวกับลูกสาวผู้ว่าฯ จังหวัดหนึ่งที่ไปเมากับเพื่อนแล้วบ้านอยู่ใกล้ด่านตรวจแค่นี้
กลับช้าไปนิดเดียว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงการละเมิดคำสั่งเคอร์ฟิวว่า
“ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ” เพราะมีผู้ฝ่าฝืน
มีการมั่วสุมชุมนุมกันในยามวิกาลอยู่ถึงกว่า ๖,๕๐๐ ราย “ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ใช้กฎหมายเพิ่มเติมให้รุนแรง
หรือประกาศเคอร์ฟิวที่มากขึ้น”
นายกฯ
จะอ้างเองหรือว่ามีคนข้างเคียงกระซิบอย่างนั้นไม่รู้ได้ แต่ ดร.อนุสรณ์
อุณโณ คณบดีสังคมวิทยาฯ เขียนถึงการเทิดทูนสถาบัน ‘เบ็ดเสร็จ’ ในไทย ไม่ว่าจะเป็น คุก โรงพยาบาลบ้า และค่ายทหาร บัดนี้เอามาใช้กับวิกฤตโคโรน่าไวรัส
เขาอ้างถึงโฆษก ศบค.
หมอโรคจิตที่เวลานี้กลายมาเป็นกระบอกเสียงของทหารนักยึดอำนาจที่เป็นนายกรัฐมนตรี
ว่าแกชอบใช้คำประเภทอำนาจนิยม ได้แก่ ทำศึก ตีค่าย ป้อมแตก ตั้งการ์ด ฯลฯ เอาศัพท์แสงในระบบสายการบังคับบัญชามาใช้
สอดรับกับคนที่ทำงานอาชีพในสถาบันเหล่านั้น
เช่น ผู้คุม จิตแพทย์ และนายพล จึงเรียกบุคคลากรทางแพทย์ว่า นักรบชุดขาวและอัศวินเสื้อกาวน์
“เรียกการรักษาพยาบาลว่าสู้ศึก หรือการเรียกอุปกรณ์ทางการแพทย์ว่าอาวุธ”
สะท้อนถึงความ “ต้องการให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการคลี่คลายปัญหาเหมือนกับทหาร”
ซึ่งถือได้ว่าเป็น ‘ความป่วย’ อย่างหนึ่งทางสังคม “หากเราไม่ตระหนักหรือว่าไม่ระมัดระวังพอ”
ก็จะ “ตกอยู่ภายใต้การบงการของอำนาจเบ็ดเสร็จเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด”
(https://www.facebook.com/anusorn.unno/posts/10158320435272716
และ https://prachatai.com/journal/2020/04/87151)
อาการเบ็ดเสร็จไม่สิ้นสุดยังปรากฏเช่นนั้นทุกวี่วัน
ผ่านการแถลงข่าวตักเตือนประชาชนถึงโทษทัณฑ์ของการไม่เชื่อฟังรัฐบาลต่างๆ นานา
ตั้งแต่ละเมิดมาตรการรับมือโควิดไปถึง “ผู้ที่โพสต์หมิ่นรัฐบาล”
ซึ่งแท้จริงก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ และชี้แนะ
ใครที่อารมณ์ดีหน่อยก็เอาไปล้อเลียน ดังคอมเม้นต์ของ
@brian_the_lover ถึงประกาศความผิดตามมาตรา
๑๓๖ โทษจำคุก ๑ ปี ปรับสองหมื่น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือควบรวมทั้งสองอย่าง ว่า “ด่าสลิ่มยังพอคบ ด่ารัฐบาลที่เคารพคบไม่ได้”
เรื่องร้ายอยู่ที่อำนาจนิยมนี้มันมาพร้อมกับ
‘impunity’ หรือการที่ผู้ใช้อำนาจบังคับไม่ต้องรับผิด
มันเหมาะเจาะพอดีกับการครบรอบ ๑๐ ปีของเหตุการณ์สังหารประชาชนด้วยมาตรการทหาร ‘ขอคืนพื้นที่’ จากผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ
ในครั้งนั้นมีการยิงแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิค้อปเตอร์ตรงบริเวณใกล้สะพานผ่านฟ้า
ราชดำเนิน มีการยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมตรงแถบแยกคอกวัว
และมีปรากฏกลุ่มชายชุดดำที่ทำให้นายทหารบัญชาการปราบครั้งนั้นคนหนึ่งเสียชีวิต
โดยที่มีหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่า ศอฉ.
หรือศูนย์อำนวยการฉุกเฉินครั้งนั้นอันเป็นแม่แบบของ ศบค.ในครั้งนี้ มีคำสั่งให้ “พลแม่นปืน...ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้
และหากไม่สามารถยิงได้ สามารถร้องขอ ‘พลซุ่มยิง’
จาก ศอฉ. ได้”
จนต่อมาได้มีการฟ้องร้อง “ข้อหาความผิดฐานฆ่าเล็งเห็นผลจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี
๒๕๕๓ ต่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตรองนายกรัฐมนตรี”
แต่คดีไม่มีความคืบหน้ามาจนตลอดปี ๒๕๖๓
กลับกันนายธาริต เพ็งดิษฐ์
อดีตอธิบดีดีเอสไอเจ้าของคดีกลับถูกดำเนินคดี “ฐานกลั่นแกล้งเพื่อเอาใจรัฐบาล” ถึงสองศาลจนมาลงเอยเมื่อ ๕ มีนา ๖๓
ศาลยกฟ้องนายธาริต แต่ตัวการสั่งขอคืนพื้นที่ครั้งนั้นก็ยังไม่มีใครถูกดำเนินคดี
มีแต่รายชื่อผู้ตายในเหตุการณ์รวมกัน
๒๕ คน ส่วนใหญ่จากอาวุธปืนชนิดร้ายแรงที่วิถีกระสุนมาจากฝ่ายทหารที่รุกเข้าไปในบริเวณ
แน่ๆ ผู้ตายไม่น้อยกว่า ๘ คนถูกยิงเข้าบริเวณศีรษะ ด้วยกระสุนของ
Snipers
จึงเกิดวลี #คนสั่งยังลอยหน้าคนฆ่ายังลอยนวล และ #ไอ้เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง มาจนทุกวันนี้