วันพุธ, พฤษภาคม 08, 2562

เตือนกันไว้ ถ้านายกฯ คนต่อไปเป็นหัวหน้าประชารัฐ จะมีชุดสีกากีถือสมุดบัญชีไปเคาะประตูบ้านขอคุย หนักกว่าสีเขียวขี่รถฮัมวีไปเยี่ยมอีกนะ


ไม่แต่การเมืองนะที่ คสช.ชักจะเป๋ ด้านเศรษฐกิจที่กะเผลกมานานหลายปี ตอนนี้ทำท่าจะเดี้ยง ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลลองถ้าเก็บภาษีแว้ตได้น้อยลงแสดงว่าประชาชนเริ่มอดอยากกันแล้ว ไม่กล้าจับจ่าย ไม่มีการออม แถมหนี้ท่วมหัว

ต่อกรณีที่มี รมช.คนหนึ่งเผลอเปิดเผยความนัยเรื่องการตั้ง สว. ว่า “นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุม ครม.ว่าผู้ใดที่อยากเข้ามาทำหน้าที่ ส.ว.ก็สามารถแสดงความจำนงมาได้” ทั่นหัวหน้าใหญ่คณะครองเมืองบอกให้มองในทางสร้างสรรค์กันหน่อย

คนเหล่านั้นอยู่มานานรู้เรื่องงานกันดี จะได้เอาไป “วางพื้นฐานประเทศในทุกๆ ด้าน” กันต่อ โห ถ้าวางพื้นฐานแบบ ๕ ปีที่ผ่านมาละก็ ประชาชนได้รับกรรมจากพิษเศรษฐกิจกันมาแล้ว ยังจะให้ไปเจอเวรต่ออีกเหรอ

ในประเทศไทยเศรษฐกิจมหภาคสำคัญน้อยกว่าจุลภาค ช่วงก่อนทหารยึดอำนาจนั่นชาวบ้านอยู่กินอูฟู เป็นที่รับทราบในทางวิชาการแล้วว่าเพราะปัจจัยหลักเศรษฐกิจรากหญ้าเฟื่องฟุ้ง ผู้คนพลุกพล่านเดินตามมอล นอนตามตึก กินตามตรอก ซื้อขายคึกคัก ค่าแว้ตก็เพิ่มพูน

พอ คสช.จัดระเบียบทางเท้า แทนที่คนจะตามแผงลอย ซาเล้งเข้าไปในร้านรวง กลับหายหดหมดทั้งข้างถนนและบนมอล บ้างอ้างว่าเพราะไม่ถูกรสนิยมในการบริโภคแบบไทยๆ หาใช่หรอก แต่เป็นเพราะถือโอกาสจำกัดวัตถุปัจจัยในการครองชีพกันเสียมากกว่า

วานนี้ (๗ พ.ค.) สรรพากรทนไม่ไหวยอมเผยไต๋ว่าตั้งแต่มีนาคมมานี่ บ่จี๊เริ่มมีเงินรายได้เข้าคลังลดลงแล้ว โดยเฉพาะรายได้หลักจากภาษีจัดเก็บ ณ ที่จ่าย หรือ แว้ต“ต่ำกว่าเป้าหมายมาก” แม้พยายามจะอ้างว่าเป้าหมายตั้งไว้สูง นั่นถูกต้องตามหลักการแล้วไง ถ้าไม่ตั้งไว้สูงก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความเจริญ

สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ที่ครบ ๖ เดือนเมื่อมีนาคม สรรพากรมุ่งมาตรจัดเก็บภาษีให้ได้ ๒ ล้านล้านบาท แต่เอาเข้าจริงไม่เป็นตามนั้น เพราะสภาพเศรษฐกิจกะปรกกะเปรี้ยมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ โน่นแล้ว พอปลายปี ๖๐ ต่อมาถึง ๖๑ ทีมประชารัฐอัดฉีดงบประมาณลดแลกแจกแถม

ถึงจะได้ตัวเลขจีดีพีแต่ความอิ่มหมีพีมันไปอยู่กับเจ้าสัว กูรูเศรษฐกิจ คสช.ไม่สน เอามาใช้ประเมินการเติบโตของปี ๖๒ ไว้เกินจริง บอกว่าส่งออกจะถึง ๘ เปอร์เซ็นต์ การเติบโตที่ ๔% ผลออกมาส่งออกแค่ ๗ การขยายตัวได้ ๓.๘ อย่างเก่ง
 
อย่างไรก็ดี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเลือกที่จะแถลงแจงแต่สิ่ง (ที่คิดว่า) ดีๆ เช่น  ๓ เดือนแรกปี ๖๒ นี้ มีจำนวน ผู้ยื่นเสียภาษีมากขึ้นถึง ๓ แสนราย จาก ๑๐.๙ ล้านเมื่อ ๒๕๖๑ มาเป็น ๑๑.๒ ล้านในปีนี้

ทำให้มีเงินเข้าคลังจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกเหนือจากแบบหัก ณ ที่จ่าย เพิ่มขึ้น คือจาก ๑.๗๔ หมื่นล้านเมื่อปี ๖๑ มาเป็น ๑.๗๖ หมื่นล้านในปีนี้ ว่าไปแล้วก็จิ๊บจ้อยอยู่นะ แม้นว่าได้ตัวเลขโดยรวมเทียบกับครึ่งปีงบประมาณแรกเมื่อปีที่แล้ว มากขึ้น ๑๑๘ ล้านบาท

หากแต่ผลแห่งการที่รายได้ภีเริ่มตกต่ำในเดือนมีนาคม ทั่นอธิบดียอมรับว่า “ภาวะเศรษฐกิจในปีนี้อาจทำได้ต่ำกว่าคาดการ ๔% และส่งออกที่ต่ำกว่าเป้าหมาย” ด้วย ที่แถลงอย่างนี้เหมือนมีนัยจะบอกหัวหน้า คสช. ที่กำลังจะไปเป็นหัวหน้าประชารัฐ ถ้าการเมืองหลังเลือกตั้งไม่เป๋

ว่า “ในช่วงที่เหลือก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษีเพิ่มมากขึ้นไปอีก” นั่นคือการขยายฐานภาษีเข้าไปสู่ธุรกิจออนไลน์ “ซึ่งปัจจุบันกฎหมายอีเพย์เมนต์มีผลบังคับใช้แล้ว” สรรพากรสามารถเกาะติดธุรกรรมการโอนเงินเพื่อนำไปประเมินเก็บภาษีได้ถนัดยิ่งขึ้น

 
ใครที่ซื้อขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต มีการโอนเงิน “ตั้งแต่ ๓ พันครั้งต่อปีหรือ ๔๐๐ ครั้ง/ปี แต่มีวงเงินรวมกันตั้งแต่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป” เตรียมน้ำร้อนน้ำชาไว้ต้อนรับขับสู้ เวลามีเจ้าหน้าที่สรรพากรไปเคาะประตูบ้านขอคุยด้วยก็แล้วกัน

ส่วนใครที่คิดไกล แอบกระหยิ่มใจว่าสมัยหน้าถ้ามีนายกฯ เป็นหัวหน้าประชารัฐ น่าจะดีกว่าสมัยที่ผ่านมานายกฯ เป็นหัวหน้า คสช. ละก็อาจจะชีช้ำกว่าเก่าก็ได้ เพราะคนในเครื่องแบบสีเขียวขี่รถฮัมวีที่เคยไปป้วนเปี้ยนหน้าบ้าน หรือเคาะประตูขอคุยด้วยอย่างสุภาพฉันท์มิตรนั้น

จะเปลี่ยนเป็นชุดสีกากีถือสมุดบัญชีที่เต็มไปด้วยตัวเลขยุบยิบ ซ้ำแน่เหมือนแช่แป้งว่าคนเหล่านี้ไม่เหมือน กกต. เขาพกเครื่องคิดเลขติดตัวกันทุกคน