เป็นประวัติศาสตร์สำหรับการเมืองไทยดังที่
นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล รองหัวหน้าและกรรมการบริหาร ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ห้ามไปจดทะเบียนหรือเป็นกรรมการบริหารพรรคใหม่ เป็นเวลา ๑๐ ปี เขียนในคำปรารภของเขาถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ
เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาไม่ถึงเดือนตัดสินให้มีผลบังคับทันทีเพียง
๑๗ วันก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งสามารถกำจัดคู่แข่งอันสำคัญของพรรคการเมืองค่าย คสช. ไปได้แล้วหนึ่งราย
ถึงจะไม่เหลือเชื่อเพราะรู้ๆ กันอยู่ว่านี่คือวิธีการที่นักรัฐประหารทำ
มิใยต้องยอมรับความจริงต่อบทเรียนซ้ำซ้อน
ที่ว่า ‘ระบอบทักษิณ’ พ่ายต่อ ‘ระบอบรัฐประหาร’ แล้วอีกครั้ง
ดังที่ผู้ใช้นาม Bu
Minator เขียนคอมเม้นต์ไว้ในโพสต์ของ
Andrew MacGregor Marshall ว่า “One wrong moved ‘Checkmate’”
แน่นอน มัน “ไม่ได้ช่วยให้ความขัดแย้งทางการเมืองลดลง”
แล้วยังเป็นสัญญานว่าอนาคตการเมืองไทย “ไม่อาจหาฉันทามติได้” ดังที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่อ้างไว้ในแถลงการณ์ ของพรรคที่อยู่ในลำดับถูก ‘ฟัน’ เป็นรายต่อไป
เช่นเดียวกับพรรคเสรีนำไทยของ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ซึ่งกองทัพกำลังโหมโจมตี ‘ไล่ล่า’ อย่างหนักอยู่ในขณะนี้
โทษฐานที่หาญกล้าต่อกรกับ ผบ.ทบ.*
*(กองทัพภาค ๑
ขึ้นป้ายไฟวาทะเสรีพิศุทธ์ “ไม่มีปฏิวัติ
ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.” ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อ ๓๑ มกรา ๕๖ ระบุถ้อยคำตอนหนึ่งว่า
“ถ้าไม่มีปฏิวัติครั้งที่แล้ว (๒๕๔๙) ถ้านายกรัฐมนตรีมาจากนักการเมือง
ผมก็คงไม่ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจ”)
นอกเหนือจากนั้นปฏิบัติการ ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้
ยังจะทำให้ระบบการตรวจสอบของประเทศไทย “ถูกตั้งคำถาม
จนกลายเป็นว่า ฝ่ายหนึ่งก็มองว่ารัฐบาลเสียงข้างมากใช้อำนาจโดยมิชอบ อีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่าองค์กรตุลาการและองค์กรอิสระต้องการทำลายฝ่ายเสียงข้างมาก”
แถลงการณ์ อนค. ยังชี้อีกว่า “การยุบพรรคการเมืองในช่วงเวลานี้อาจทำให้ประชาชนเสียความเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพรรคที่ถูกยุบเป็นพรรคที่มีจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ
คสช.”
ข้อสรุปดังกล่าวเข้าใจได้ไม่ยาก
ดูจากการทายทักของ Thanapol
Eawsakul ไว้ ๑ วันก่อนการอ่านคำพิพากษาที่ว่า
“คดียุบพรรคไทยรักษาชาติไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่คือคดีการเมือง
ดังนั้นไม่ต้องพิจารณาในมุมกฎหมายแต่ให้มองในทางการเมือง” ได้จาก
“การกลับลำ ๑๘๐ องศาของ กกต. หลังจากรับรอง
‘อุบลรัตน์’ เป็นแคนดิเดท
ตลอดทั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 แต่เมื่อมีพระบรมราชโองการ
22.45 น.
กกต.ก็เป็นองค์กรที่ริเริ่มในการดำเนินการยุบพรรคไทยรักษาชาติ
ด้วยเหตุการยื่นเสนอชื่ออุบลรัตน์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ตัวเองรับรองมาก่อน”
ไม่เท่านั้นศาลฯ
ยังไม่ยอมสอบสวนพยานบุคคลเพิ่อมเติม อ้างว่าพยานเอกสารเพียงพอแล้ว
อีกทั้งการกำหนดนัดให้พรรค ทษช. แถลงด้วยวาจาก่อนกำหนดตัดสินเพียงชั่วโมงครึ่ง
แสดงว่าได้ทำคำตัดสินไว้ก่อนแล้ว
ปฏิกิริยาของผู้เป็นแคนดิเดทเอง จากข้อความในนาม
‘nichax’ ทางหน้าอินสตาแกรม กล่าวว่า “ทราบแล้วเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและหดหู่มาก”
ครั้นมีคอมเม้นต์จากอีกราย “...แต่ถึงยังไงก็จะขอเดินหน้าไปพร้อมกับทูลกระหม่อมนะครับ”
คำตอบของ nichax
ดูจะสร้างความหวังอยู่บ้างว่า “ขอบใจมากค่ะ เราจะช่วยทำให้ดีที่สุด”
ถึงแม้จะไม่ก่อเกิดความมั่นใจมากนักตราบเท่าที่ศักดิ์ศรี ‘ทูลกระหม่อม’ ยังครอบคลุมอย่างหนาแน่น ความหวังอย่างบ้านๆ น่าจะดีกว่า
ถ้า “ความเจ็บปวด แปรเปลี่ยนเป็นพลัง” ได้ดังที่
‘independence’ สนองความวาดหวังในโพสต์ของ
Thuethan Prasobchoke ที่ว่า “สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ตามกรรมการบริหารพรรค
สามารถมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพรรคก็แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้...”
หากไม่ติดเงื่อนเส้นตายเวลา ทั้งจาตุรนต์
ฉายแสง และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะช่วยเรียกคะแนนไปเทให้กับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคใดๆ
ในฟากประชาธิปไตย เช่น เพื่อชาติ ประชาชาติ เสรีรวมไทย สามัญชน
หรือกระทั่งอนาคตใหม่
สิ่งที่ Puangthong
Pawakapan บ่นเสียดายฝ่ายไม่เอาระบอบ
คสช. ขาดนักอภิปรายทรงพลังไปสองคน
ในการเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็งต่อรัฐบาลเครือข่ายคณะรัฐประหาร ก็จะไม่หนักหนาสากัณฑ์นัก
พากันก้าวต่อไปข้างหน้าดังที่ นพ.พงษ์ศักดิ์ขอไว้
“ขอให้ร่วมด้วยช่วยกัน
เทแรงใจให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจจริงๆ เท่านั้น”
ดังที่ สลักธรรม
โตจิราการ นำเอาโคลงบทหนึ่งจากเรื่อง
‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในหนังสือรวมผลงานของ
‘นายผี’ มาเผยแพร่ไว้
“วันนี้แพ้พลาดมาตรหมาย ว่าเราทั้งหลาย
พรุ่งนี้ชะนะบมิแหนง แม้ววันนี้เราสิ้นแรง แลจะตายฤๅแสยง วันพรุ่งจะฟื้นชาวประชา
วันนี้สัจจธรรมชั่วครา พรุ่งนี้นั้นหนา คือสัจจธรรมถาวร”