‘คมชัดลึก’ (ยุคสนธิญานสิงสู่ ‘เนชั่น’) โหมหนัก ‘ยุบพรรค’
ทษช. พ่วง ‘เพื่อไทย’ หลังจากที่
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่นด้วย ชี้ (ต่างกรรมต่างวาระ) ว่าไทยรักษาชาติต้องรับผิดชอบ
“ล่าสุดมีความเป็นไปได้ว่าจากกรณีดังกล่าวอาจจะทำให้พรรคไทยรักษาชาติ
รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคได้” บทความในคมชัดลึกเมื่อวาน (๑๐ ก.พ.) ฟันธง “เพราะเขาพลาดเอง
พรรคไทยรักษาชาติพลาด
และหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพรรคไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทยได้ ก็สามารถยุบพรรคได้ทั้งคู่”
จากนั้นฟันต่อ “จากพฤติการณ์ที่ผ่านมาของพรรคไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทยสามารถโยงว่ามีความเกี่ยวข้องกันได้อยู่แล้ว
ทั้งเรื่องที่มาในการตั้งพรรค
รวมไปถึงลักษณะการส่งผู้สมัครของทั้งสองพรรคที่น่าจะเข้าข่ายว่าฮั้วกัน
และการเชื่อมโยงกับอดีตนายกทักษิณ”
นั่นยังเป็นเรื่อง ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์) หลังจากที่
กกต. ประชุมวันนี้ตั้งแต่สิบโมงเช้า สื่อเครือเนชั่นที่เคยฟันไว้ว่า “ระวังตัวกันดีๆ...จะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
ทำท่ารู้ลึกว่า กกต.จะใช้มาตรา ๙๒ (๒) กรณี “กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
อ้างว่า “กระทำความผิดสำเร็จแล้ว” เสียด้วย แต่การนี้น่าจะไม่คมและไม่ชัด
เพราะเถียงได้ว่าถ้างั้น ‘ทูลกระหม่อม’ ก็ต้องสมรู้กับการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์นี้ด้วย
อีกทั้ง กกต. ก็สมรู้เช่นกัน เพราะรับใบแจ้งจดว่าถูกต้องไปแล้ว
ข้อกฎหมายที่ ‘อาจจะ’ (ขออนุญาตใช้คำของ
Yugala) นำมาฟันได้ น่าจะเป็น พรบ.การเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา
๑๓๓ วรรคสาม ที่ว่า “หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ได้ยับยั้ง
กรณีที่มีผู้สมัครทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม”
เพราะ ‘ผู้สมัคร’ กระทำผิด ‘พระบรมราชโองการ’ ย้อนหลัง
คือจดแจ้งเสนอตัวทางการเมืองในตอนเช้า โดยรู้เท่าไม่ถึงการว่าตอนค่ำมีโองการบอกว่าเป็น
‘เชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด’
(ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ข้อกฎหมาย’ สามารถยุบพรรคการเมืองได้ ๒๑ วิธี ที่ https://ilaw.or.th/node/5143)
ตานี้เกิดมี ‘ลัทธิแก้’ (เวลาบ่ายโมงวันที่
๑๑ ก.พ.เช่นกัน) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ
อดีตทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย “จะไปยื่นให้ กกต. พิจารณาไม่ให้ประกาศรายชื่อ พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพลังประชารัฐ”
เรืองไกรอ้างข้อกฎหมายสองประเด็น หนึ่ง
การเสนอชื่อประยุทธ์ผิดระเบียบข้อ ๙๑ (๑) ซึ่งจะเสนอชื่อได้ต้องให้เจ้าตัวยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
(แบบที่ ‘ทูลกระหม่อม’ ส่งให้พรรค
ทษช.ตั้งแต่ปลายมกรา เพื่อไปยื่น กกต. ๘ กุมภา)
อีกประเด็น ประยุทธ์ “ยังอาจเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
มาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) (12) และ (15)
อีกด้วย” อันนี้ตามข่าวที่ ‘ผู้จัดการออนไลน์’ เสนอ
เหตุผลที่ผู้ร้องใช้สนับสนุน ได้แก่ ๑. ประยุทธ์เป็นเจ้าของสื่อมวลชน
‘ออนไลน์’ หลายชนิด มีผิดตามข้อห้ามมาตรา ๙๘ (๓) และ
๒.ประยุทธ์ยังเป็นหัวหน้า คสช. มีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินเดือน ๑๒๕,๕๙๐ บาท
มาจะห้าปีเข้านี่แล้ว
นั่นถือว่าขัดต่อระเบียบกฎหมาย “มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
มาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) (12) และ (15)
ซึ่งโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคสอง
ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น”
มันเยิ้มละทีนี้ ไม่ว่า กกต.จะวินิจฉัยออกมาได้ในทางใด
ต้องยอมรับว่าเก่งกาจลดเลี้ยวเขี้ยวขอจริงๆ ยิ่งกว่าศรีธนญชัย