ปุ้ดโธ่ และแล้วก็ถึงเวลาเปิดหน้าเล่น ทำเป็นอีแอบข้างหลังพวกลิ่วล้อ
ยักคิ้วยักไหล่ยักท่าเหมือนคนบ้าใบ้อยู่ตั้งนาน เมื่อวาน (๔ ธันวา) “บิ๊กตู่เผยไต๋แล้ว
สนใจพรรคพลังประชารัฐ” Wassana Nanuam แถลงไข
“ถ้าผมคิดจะเข้าสู่การเมือง ผมก็ควรจะสนใจพรรคเหล่านี้
เพราะทำงานต่อกับที่ผมทำมา เผย ผมสนับสนุนพรรคที่มียุทธศาสตร์
ใครมีดีกว่าพรรคพลังประชารัฐก็ว่ามา” ยังไม่วายกั๊กไว้นิดว่า “ถ้า”
พวกหน้าไหว้หลังหลอกก็อย่างนี้แหละ
มิน่า มันอธิบายทุกอย่าง
ตั้งแต่สุเทือกออกมายอมรับภาวะเศรษฐกิจ ‘ไม่มีจะแดก’ เพื่อหลีกทางให้พลังประชารัฐเป็นพระเอก
และผ่อนอารมณ์โกรธขึ้งของอดีตสลิ่มนกหวีดหัวร้อน หวังผลกล้อมแกล้มได้ ส.ส.เข้าสภาสักหน่อยแล้วค่อยตลบหลัง
ช่วยกันดันประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกครั้งดังแผน
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ของ ‘น้องม้าร์ค’ ซึ่งได้รับการทาบทามจาก ‘เฮียป้อม’ เอากระทรวงเกรดเอมาแลก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แทงกั๊กเหมือนกัน “แล้วค่อยมาว่ากัน”
เขาตอบ “ถ้าเป็นไปตามรายงานข่าวว่าจะเสนอกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นและเวลา”
เลี่ยงไปบอก “ต้องให้ประชาชนพิจารณาก่อน”
อ้างตอนนี้มีสามขั้ว พปชร. ปชป. และเพื่อไทย ต้องดูผลเลือกตั้งก่อนว่าใครจะมา
ก็แน่ละ แต่ทางเพื่อไทยและอีกสองสามพรรคเขายืนยันนั่งยันกันมาตลอด ว่าเป็นตายร้ายดีไม่มีผสมพันธุ์กับกลุ่มพรรคลิ่วล้อทหารเด็ดขาด
ไม่มีการกั๊กรอเป็นกิ๊ก
มันควรจะเป็นเพราะ ไม่มีอะไรน้อยไปกว่า จำนวนคนตายเมื่อปี
๒๕๕๓ จากการสลายชุมนุมและขอคืนพื้นที่ประชาชนเกือบร้อย ภาพก็บอก พยานนับพันก็เห็น
แต่ศาลและกระบวนการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกข้าง ไม่ยอมรับ
“แบบนี้ก็มีด้วย” ข่าวสดรายงาน “คดีสลายการชุมนุมปี ๕๓ ดีเอสไองดการสอบสวนเหตุการณ์คนตายในวัดปทุมฯ
ด้วยเหตุผลยังหาตัวคนยิงไม่เจอ จึงแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้” ซึ่งไทยโพสต์นำเสนอในเนื้อหาคล้ายคลึงกัน
แต่ดันพาดหัวว่า “DSI สอบ 'เผาเมือง 53' ส่อเหลว” เสียนี่
รายละเอียดในเรื่องนี้ก็คือ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งขณะนั้นมีนายธาริต
เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี ได้สรุปสำนวนให้ส่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในการออกคำสั่งสลายชุมนุม นปช. ในปี ๕๓ “ก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล”
จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๖๐ “ศาลฎีกา
พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโดยระบุว่า คดีต้องยื่นให้
ปปช.ไต่สวนและยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ไม่ใช่ดีเอสไอทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาลอาญา” เอง
เป็นที่รู้กันว่าคดีไปติดตออยู่ที่ ปปช. จนกระทั่งบัดนี้
แต่เมื่อ ๒๕ กันยาที่ผ่านมา ศาลอาญาได้ ‘ยกฟ้อง’ คดีที่อภิสิทธิ์และสุเทือกฉวยประโยชน์จากคำพิพากษาปี
๖๐ และวีธีการดองเค็มบางคดีความของ ปปช.
ยื่นฟ้องธาริตและเจ้าหน้าที่ดีเอสไออีกสามคน
ข้อหา “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ...เจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา...โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า
พยานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักน้อย เป็นเพียงพยานแวดล้อมและความเห็นทางกฎหมาย
ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ จงใจกลั่นแกล้งโจทก์”
แต่ว่าล่าสุดเมื่อ ๔ ธันวา
ดีเอสไอในยุคที่หัวหน้า คสช.เตรียมตัวจะไปเป็นนายกฯ ของพรรคการเมือง กลับแถลงว่า
ในการทำสำนวนเอาผิดผู้สั่งการสังหารประชาชนในปี ๕๓ ได้ส่งต่อไปให้ ปปช. พิจารณาตามคำตัดสินศาลแล้ว
ส่วนคดีต่างๆ
เกี่ยวเนื่องการสลายชุมนุมเมื่อปี ๕๓ ที่ดีเอสไอรับงานมาทำการสอบสวน ๓๗๑ คดีนั้น
ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวนค้างอีก ๑๕ คดี รวมทั้งคดีอาสาสมัครพยาบาลถูกยิงตายในวัดปทุมวนาราม
๖ ศพด้วยนั้น “การดำเนินคดีต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า
เจ้าหน้าที่ทหารคนใดใช้ปืนจากกระบอกไหนทำให้เสียชีวิต
ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอยังไม่สามารถหาตัวบุคคล
และเรียกเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำจุดในวันนั้นมาสอบปากคำ รวมทั้งตรวจปืนได้”
โอ มายก๊อด อุต๊ะพระเจ้าช่วย
ไม่ใช่แค่ “แบบนี้ก็มีด้วย” เท่านั้น ในกระบวนการยุติธรรมปกติที่ไหนๆ ในโลก เมื่อมีอาชญากรรมเกิดขึ้นโดยเฉพาะการฆ่าคนตาย
คนร้ายหนีหาย (ส่วนใหญ่ก็อย่างนั้น) เป็นหน้าที่ผู้รักษากฎหมายต้องสืบเสาะหาตัวคนกระทำผิดมาลงโทษให้จงได้
และต้องปฏิบัติอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร
แม้หมดปัญญาจริงๆ ก็เก็บไว้เป็น Cold Cases อีกสิบปียี่สิบปี
พอมีเบาะแสก็นำคดีมาพิจารณาพิพากษาโทษได้ ผู้อยู่อาศัยในสหรัฐได้เห็นการจับกุมอาชญากรแบบนี้ที่ไปหลบซ่อนตัวเงียบเป็นสิบๆ
ปี บ่อยไป