โอวาทป๋ามอบให้นายกฯ ตู่ โอกาสปีใหม่
น่าจะสะท้อนความ ‘กำลังเป็น’ ของ คสช. อยู่บ้างในทางที่ทั้งเหลิงและตะกละ อยากครองเมืองนานๆ ถึง ๒๐ ปี แม้ผลกรรมที่ทำมาเกือบจะห้าปีชี้ชัดว่า
นอกจากขาด ‘กองหนุน’
ดังที่ป๋าว่าไว้ครั้งก่อนแล้ว ตอนนี้ขาด ‘มิตร’
มากขึ้น
ดูง่ายๆ เรื่องเดียว นาฬิกา ๒๐
กว่าเรือนของพี่ใหญ่ ที่ ปปช. องค์กรอิสระซึ่ง คสช.เพิ่งขึ้นเงินเดือนให้
(ระดับประธาน) กินกันคนละแสนสามนั้น ใช้เวลาเกือบปีสอบสวนไม่เสร็จดี แต่สรุปง่ายๆ
ว่าไม่มีอะไร ยกคำร้องปิดคดีไปดื้อๆ
ชาวบ้านทั้งหลายไม่ต้องไปฟังใครมาก
เก็บจากพวกที่เคยกวักมือเรียก คสช. อย่างนักปฏิรูปพลังงาน อดีต สว. คนเก่ง รสนา
โตสิตระกูล ก็เหลือจะพอ เธอไม่ได้บริภาษณ์รุนแรงเท่าไรหรอก เพียงเขียนบอกเบาะๆ ว่า
“แสดงการมือตกของ ป.ป.ช ซึ่งไม่ใช่การตรวจสอบแบบมืออาชีพ”
แต่เจ็บแสบทีเดียวในเนื้อหาละเอียด “ข้อมูลที่ตรวจสอบแสดงว่านาฬิกา
๒๑ เรือน นำเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ไม่ได้มีการเสียภาษีนำเข้าอย่างถูกต้อง
ซึ่งต้องยึดนาฬิกาทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน” แต่ ปปช. ก็ไม่ทำ หรือไม่คิดจะทำเช่นนั้น
ที่เคยมีเสียงนินทาว่าเพราะประธานเป็นคนของผู้ต้องหา
ผลการตัดสินที่ออกมาตอนนี้ไม่อาจลบล้างคำครหาดังกล่าวได้เลย มิหนำซ้า “ข้ออ้างว่า
พลเอกประวิตรยืมนาฬิกาเพื่อนใส่เป็นประจำ จนกระทั่งเพื่อนตายแล้วเมื่อต้นปี
แต่ปลายปีแล้ว พล.อ ประวิตรก็ยังใส่นาฬิกานั้นอยู่ ป.ป.ช
วินิจฉัยกรณีนี้ไว้อย่างไร” รสนาถาม
ปปช.ไม่บอก อาจวินิจฉัยไม่ลงตัวเลยไม่แถลง
หรือปัดสวะเข้าใต้พรมเพราะมันเลอะเทอะ อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งตอบสังคมไม่ได้ ในเมื่อตามตัวบทกฎหมายที่หัวหน้า
คสช.ชอบอ้างนักอ้างหนา “ผลประโยชน์ที่ พล.อ ประวิตร (วงษ์สุวรรณ) ได้รับจากการยืมนาฬิกาว่ามีมูลค่าเกิน
๓,๐๐๐ บาท” เป็นความผิด “ตามข้อห้ามของกฎหมาย
ป.ป.ช.” เอง
รสนาย้อนรอยคดี “ที่นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม
อ้างว่ายืมรถคนอื่นมาใช้ โดยที่ทะเบียนรถก็เป็นชื่อของคนอื่นจริงๆ แต่ ป.ป.ช
ก็ยังไม่เชื่อ และทำสำนวนส่งฟ้องศาลฯ แต่เหตุใดกรณีนี้จึงเชื่อง่ายๆ” นั่นสิ
“จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ
เพราะเข้าใจผิดว่าอำนาจเป็นของตน จะใช้อย่างไรก็ได้ ใช่หรือไม่”
แล้วที่เสียงข้างน้อย ๓ คนขอให้มีการหาข้อมูลเพิ่มนั้น เสียงข้างมาก ๕ คนไม่ยอมฟังเสียเลย
รสนาลงท้ายว่า
“การตัดสินคดีที่ขัดสายตาประชาชนผู้เสียภาษีทั้งประเทศเช่นนี้
ย่อมนำความเสื่อมมาสู่องค์กรตรวจสอบคอร์รัปชั่นระดับชาติอย่าง ป.ป.ช.”
ถึงเธอจะถามว่า “ใช่หรือไม่” ใครต่อใครเห็นตำตาว่าใช่เลย
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1292761, https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2018001, และ https://youtu.be/X7w3H1QzK2I)
คนหนึ่งที่ออกมาตอบโดยอ้าง ‘ประชาชนส่วนใหญ่’ เป็นฝักฝ่ายที่เคยยินดีกับการที่
คสช. เข้ามาขัดขากระบวนการประชาชนรากหญ้าที่ชื่นชมผู้นำการเมืองประชานิยม แต่แล้วกลายเป็นเตะหมูเข้าปากหมา
จนบัดนี้สำนวนกวนประสาท “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” กลับมาฮิตอีกครั้ง
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เป็นนักวิชาการ ‘นิด้า’ ในฟากเกลียด (อดีตนายกฯ) ทักษิณ ชินวัตร
ที่หลังๆ นี่พยายามแสดงจุดยืนทางประชาธิปไตย ในฐานะประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
(ครป.) เขียนข้อความสั้นๆ นำลงหน้าเฟชบุ๊ค กรณี ปปช. ยุติการสอบเรื่องนาฬิกาหรูของ
‘พี่ป้อม’
“ปปช. บอกว่าประวิตรไม่ผิด แต่ดูเหมือนประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นต่างออกไป”
ตรงกับที่ป๋าฝากนายกฯ ทำตัวอย่าง ฟังความเห็นต่างอย่างเป็นมิตร
เหมือนที่ตนเคยทำมาแล้วได้ผล ทว่าปัญหามันไปอยู่กับคนของพี่ป้อมใน ปปช.
จนพิชายต้องเตือนว่า
“ความเชื่อถือต่อ ปปช. ที่เคยมีอยู่บ้าง พลันมอดมลายไปกับมติอันอัปยศ”
มิใยที่จะมีการรณรงค์ให้ถอดถอน
ปปช.เสียงข้างมาก ๕ คน ได้แก่ นายปรีชา เลิศกมลมาศ นายณรงค์ รัฐอมฤต นายวิทยา
อาคมพิทักษ์ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และ พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์
ฐานที่ตัดบท “กลับไม่ให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามที่กรรมการเสียงข้างน้อยเสนอ
เพียงแต่ให้แจ้งนาฬิกาจำนวน ๒๒ เรือนให้กรมศุลกากรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่”
เท่านั้น