วันศุกร์, พฤศจิกายน 30, 2561

นิกเกอิเอเชี่ยนรีวิวระบุ นโยบายเศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลทหารยังตามรอย 'ทักษิณ' เน้นประชานิยม-แจกเงิน ซึ่งไม่ใช่การส่งเสริมเศรษฐกิจระยะยาว



วิลเลียม เพเซ็ก ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจประจำกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น เผยแพร่บทความ Populism threatens Thailand again ลงในเว็บไซต์นิกเกอิเอเชี่ยนรีวิว โดยระบุว่าผู้นำจาก 20 ประเทศในกลุ่มระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ 'จี20' จะเข้าร่วมการประชุมที่กรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา ช่วงสุดสัปดาห์นี้ และเป็นที่รู้กันดีว่าอาร์เจนตินาเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากนโยบายประชานิยมของอดีตรัฐบาล แต่ประเทศที่กำลังประกาศใช้นโยบายประชานิยมอยู่ในขณะนี้ และอาจจะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต คงจะหนีไม่พ้น 'ประเทศไทย'

เพเซ็กยกตัวอย่างนโยบายประชานิยมในไทย เช่น การแจกเงินหรือโครงการมอบเงินสนับสนุนแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องย้อนแย้งที่รัฐบาลทหารไทยชุดปัจจุบันนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ เพื่อที่ตัวเองจะได้รับความนิยมจากประชาชน เพราะรัฐบาลทหารชุดนี้ให้เหตุผลในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจอดีตรัฐบาลเมื่อปี 2557 ว่า ต้องการล้มล้างผลพวงของการปกครองโดยอดีตรัฐบาล รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์

บทความของเพเซ็กระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจของทักษิณได้รับความนิยมในกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ เพราะเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นถูกจังหวะ เนื่องจากเขาชนะเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ได้ไม่นาน การใช้นโยบายประชานิยมทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์และมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเครือข่ายธุรกิจและพวกพ้องของอดีตนายกฯ

อย่างไรก็ตาม เพเซ็กมองว่าอดีตรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ไม่ได้ผลักดันนโยบายที่ชัดเจนมากนักในด้านการศึกษาหรือการส่งเสริมนวัตกรรม แต่ประสบความสำเร็จในการซื้อใจประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนในชนบทกับชนชั้นนำในเขตเมือง แต่การรัฐประหารยึดอำนาจอดีตนายกฯ ทักษิณเมื่อปี 2549 เป็นจุดเริ่มต้นของความผันผวนและการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอีกหลายครั้งในประเทศไทย

บทความดังกล่าวระบุด้วยว่า หลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คนที่ 9 ของไทย ซึ่งแม้จะดำรงตำแหน่งมาแล้วกว่า 4 ปี กลับไม่มีนโยบายหรือแนวทางที่แตกต่างไปจากรัฐบาลชุดเก่า ทั้งยังอยู่ในอำนาจนานกว่ารัฐบาลทหารชุดอื่นๆ ซึ่งมักจะอยู่ในตำแหน่งเพียงไม่กี่ปี เพื่อผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างบางอย่างที่ทำไม่ได้ในสมัยของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามปกติ

แต่การที่รัฐบาลทหารชุดนี้เลือกใช้นโยบายประชานิยมแบบเดียวกับรัฐบาลที่ตนเองเคยขับไล่ ก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้แทบจะไม่มีนโยบายเป็นของตนเอง เพราะเป็นเพียงการรื้อฟื้นนโยบายยุคทักษิโณมิกส์ขึ้นมาใหม่

เพเซ็กเตือนว่า นโยบายประชานิยมไม่ใช่การส่งเสริมเศรษฐกิจระยะยาว การอัดฉีดเงินสดให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ไม่ได้ทำให้เกิดความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจ เพราะไม่ใช่การสร้างรายได้เพิ่ม แต่กลับเป็นการสร้างภาระหนี้ครัวเรือน และผลสำรวจเมื่อต้นปี 2561 บ่งชี้ว่าไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77.7 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน

นอกจากนี้ แม้ว่าจีนจะยังมีความต้องการขยายการลงทุนมายังประเทศแถบเอเชีย แต่ไทยก็เผชิญกับภาวะส่งออกชะลอตัว และนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายการทำสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และแม้ว่าไทยจะพยายามรักษาสถานะการเป็น 'ดีทรอยต์แห่งเอเชีย' เพราะมีโรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งอยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า มิตซูบิชิ หรือจีเอ็ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะดำรงสถานะดังกล่าวได้ตลอดไป เพราะอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทยในภูมิภาคนี้


'ส่วยเทศกิจ' ผุดอีกรายที่เขตลาดกระบัง จ่ายผู้ช่วยฯ เดือนละหมื่นสอง :Thai E-News Exclusive

อนุสนธิ์จากรายงานเรื่องเทศกิจเก็บส่วย กรณีแม่ค้าผลไม้หน้าตลาดโชคชัย ๔ เหลืออด อาละวาดจนมีการถ่ายคลิปคนเข้าดูกันเป็นไวรัลเมื่อกลางเดือนนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่คนถ่ายคลิปถูกเพ่งเล็งและสอบสวน จนต้องออกมาโอดต่อสาธารณะ

ว่า “ยอมรับทั้งน้ำตา มีรายได้จากการเก็บส่วยเข้า บช. กว่าเดือนละ แสนบาท ส่งลูกเรียน เลี้ยงเมียอีก คน ให้เงินเดือนภรรยาจ่ายกับข้าวทำงานบ้านเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้ลูกสาวไป รร. วันละ ๓๐๐ บาท

ยอมรับว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะแฉทุกเขตก็เก็บส่วย มีหลักฐาน ไม่ใช่เขตผมเขตเดียว เก็บกันทั่วประเทศ


ตอนนี้ผุดอีกราย เหตุเกิดโวยวายกันตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๐ ที่เขตลาดกระบัง มีการเปิดรับฟังคำร้องเรียนแล้วสำนักงานเขตตัดสินด้วยการสั่งปิดตลาดนัดชุมชนแห่งนั้น เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

“โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของ กทม. มีผู้ค้าร้องขอให้เปิดการค้าขายอีกครั้ง ในขณะนั้นผู้เป็นนายใหญ่บอกให้ไปตกลงกันเรื่องการจ่ายเงินตามที่พวกเขาเคยทำมาค่ะ” อดีตผู้ค้ารายหนึ่งเปิดเผยกับ ไทยอีนิวส์

นายใหญ่ที่ผู้ร้องอ้างเป็นอดีตรองผู้อำนวยการเขตระหว่างเกิดเรื่อง ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการเขต และ “ทราบว่าทหารหน่วยนี้ (ชุดปัจจุบันที่ คสช.ส่งไปดูแลเขต) ก็คอยตามอารักขาผู้อำนวยการเขตฯ อยู่เช่นเดียวกัน”

“เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ดิฉันเคยไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ร่มเกล้า แต่...รอง สว. (สอบสวน) ร่มเกล้า ไม่รับแจ้งความอ้างว่าตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานเขตฯ นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของตน หรือแม้แต่ที่ดิฉันแจ้งความเรื่องมาเฟียรีดไถฉ้อโกงทรัพย์ก็เงียบเช่นเดียวกัน”
 
มาเฟียรีดไถที่ผู้ค้ารายนี้อ้าง เป็นกลุ่มผู้ค้าในตลาดเดียวกันซึ่งสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่เขตและตำรวจเทศกิจที่ดูแลตลาดแห่งนั้น โดยมีสตรีคนหนึ่งทำหน้าที่เก็บส่วยเป็นประจำทุกวันส่งให้กับผู้บริหารราชการเขต “เก็บมาจ่ายผู้ช่วย ๑๒,๐๐๐ บาท จราจรก็ประมาณ ๘,๐๐๐ บาท (วันละ ๔๐๐ บาท ค่าจราจร) รวมก็ ๒๐,๐๐๐ บาทพอดี”

นอกจากนี้ยังมีรายการเรี่ยไรเป็นครั้งคราว “อย่างเช่นเมื่อช่วงสงกรานต์เขาเรียกมา ๒๐,๐๐๐” สตรีผู้ค้าคนที่ทำหน้าที่เก็บส่วยเล่าในการสนทนาทาง ไลน์ กับเจ้าหน้าที่เทศกิจคนหนึ่ง เธอบอกว่ายอดเต็มเก็บมาจากผู้ค้า ๕๐ ราย ได้ ๔ หมื่นบาท (ที่เขาเรียกเป็นคำขลังว่า ค่าปรับ) จ่ายท่านรองไปแล้ว ๒ หมื่นเหลืออีก ๒ หมื่นก็หมดพอดี
 
“มีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย พอมีงานอะไรก็ใส่ซองจนเงินติดลบ หนูก็เอาเงินหนูออกไปก่อน พอเก็บยอดใหม่มาก็หมุนไปเรื่อยๆ ค่ะ หนูถึงท้อค่ะ” สตรีที่มีคนแจ้งไทยอีนิวส์ว่าเป็น มาเฟียตัวแม่บ่นต่อเจ้าหน้าที่เทศกิจคนหนึ่งที่พยายามหาทางช่วยพวกแม่ค้าพ่อขาย

จนเทศกิจคนนั้น “ก็โดนกลุ่ม ผอ.สำนักงานเขตฯ จ้องเล่นงานมาตลอดโดนแขวนตำแหน่งมาเป็น ๒๐ ปี” ตำแหน่งที่ว่านี่คือ สิบเอก เหตุเพราะไม่เพียงตลาดเดียวที่มีการส่งส่วยเช่นนี้ในเขต ตลาดไหนนิ่งก็ทำกิจการต่อไปได้ ที่ไหนหือจึงถูกปิด

ทุกหน่วยงานในท้องที่ไม่ว่าสำนักงานเขต หน่วยทหารที่ควบคุม และตำรวจ สน.ในพื้นที่ น่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วยกันทั้งสิ้น มาเฟียตัวแม่ เล่าถึงเรื่อง “ทหารไปบ่อนไฮโล บุกขึ้นไปตรวจค้นจับนักพนันได้ประมาณ ๓๐ คน แป๊บเดียวปล่อยหมด”

คนที่ถูกจับไปที่ สน. “ไม่ใช่คนที่ไปเล่นไฮโลนะ เป็นคนที่รับจ้าง แล้วทางบ่อนจะออกให้คนละ ๒,๐๐๐ บาท...ผลสุดท้ายเคลียกับเฮียตือเจ้าของบ่อน ก็ปล่อยหมดทุกคน”
 
ผู้ให้เบาะแสแก่ไทยอีนิวส์ท้าวความถึงตอนที่พวกผู้ค้าสี่ห้าคนพยายามทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยทหาร คสช.ที่คุมพื้นที่ว่า “ที่เลวร้ายชนิดคาดไม่ถึงว่าชาตินี้จะได้พบเจอ...แต่กลับถูกทหารซ้ำเติม

โดยการส่งเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไปให้นายใหญ่ของสำนักงานเขตพิจารณาดำเนินการฯ โดยนายใหญ่ของมาเฟียคนดังกล่าวก็นำเอาเรื่องร้องเรียนนั้นไปฟ้องศาล กล่าวหาว่าผู้ค้าทั้งหมดที่เข้าชื่อร้องเรียนไปยังทหารนั้นหมิ่นประมาทเขา”

มาแนวเดียวกับคดี หมู่บ้านป่าแหว่งบนดอยสุเทพของตุลาการ ไม่มีผิด เมื่อสำนักงานศาลยุติธรรมได้แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ “ในข้อหาหมิ่นประมาท จำนวน ๒ คดี”แล้ว

กลุ่มผู้รณรงค์ทราบว่ายังมีการฟ้องร้องอีก ๓ คดีจาก สน.พหลโยธิน รายหนึ่งยังไม่ทราบข้อหาอะไร อีกสองรายคาดว่าเป็นข้อหาหมิ่นประมาท นอกเหนือจากที่ตำรวจภูธรภาค ๕ ได้ยื่นฟ้องนักกิจกรรมท้องที่คนหนึ่งแล้ว ในความผิดฐาน “ติดป้ายคัดค้านกลุ่มข้าราชตุลาการที่เข้าไปอาศัยในบ้านพักเชิงดอยสุเทพ”


กรณีสำนักงานเขตฟ้องร้องผู้ค้า ๕ รายในตลาดลาดกระบังฐานหมิ่นประมาทที่ร้องเรียนนั้น “หลังจากที่ศาลได้นัดไต่สวนหลายครั้ง เขาก็คงจะรู้ว่าไม่มีทางเอาผิดพวกผู้ค้าฯได้ ก็จำต้องถอนฟัองแล้วมาลงสื่อว่าตนเองเป็นผู้นำที่ใจกว้างมีเมตตาจึงปรานีถอนฟ้องผู้ค้า”

หนึ่งในผู้ถูกฟ้องทั้งห้าให้เบาะแสไทยอีนิวส์เพิ่มเติมด้วยว่า “พวกฉันที่เขาฟ้องนั้น ทุกคนล้วนเป็นแม่ค้าข้างถนนขายผักหญ้าบนทางเท้า บางคนพิการ บางคนป่วย บางคนสูงอายุต้องช่วยประคอง...

ระยะเวลาที่ผ่านมาปีกว่าทุกๆ คนถูกข่มขู่คุกคามหว่านล้อมจากทหาร ตำรวจ นายใหญ่และพวกมาเฟียจนเกิดความเกรงกลัวก็หนีหายกันไปคนละทางสองทาง คงเหลือแต่ฉันเพียงคนเดียวที่ยังยืนหยัดต่อสู้”

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 29, 2561

โพล ม.รังสิตออกมาแก้เกี้ยว แก้เก้อ แก้เกม โพลของนิด้าที่ดันให้สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เฉือนลุงตูบ


สองสามวันมานี่ พลังประชารัฐ โหมหนัก ทางด้าน ‘Propaganda’ โฆษณาชวนเชื่อ ไหนจะราคาคุย สมศักดิ์ เทพสุทิน ไหนจะโพล ม.รังสิต ที่นอกจะเชิดประยุทธ์สุดๆ แล้ว ยังใส่ไคล้พรรคเพื่อไทยไม่มีดี

ทำนองเดียวกับ ยะใสอดีตพันธมิตรฯ ที่เปลี่ยนหน้ากากไปอยู่กับพรรคเทือกเป็นลูกไล่ กปปส. พยายามจะสร้างคุณค่าว่าเป็นนักวิชาการ ฐานที่สิงสู่อยู่ ม.รังสิต จ้องวิพากษ์แต่พรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯ ทักษิณ เสียจนตนเอง ไร้ราคา แม้แต่ในการเป็นนักการเมือง

เอาแค่ถามว่าครบ ๙ ปี พธม. ประเมินผลได้ไหม ยะใสเลี่ยงไปว่า “ปฏิเสธที่จะสรุปบทเรียนในเรื่องนี้ เพราะมีปัญหาคดีความที่พัวพันกันจำนวนมาก จนทำให้การออกมาพูดในเรื่องนี้อีกครั้งอาจจะสร้างปัญหาต่อรูปคดีได้”

ปล่อยให้ “พลตำรวจโท ฉลอง สนใจ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑ ซึ่งรับคำสั่งดูแลพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิขณะนั้น (กรณี พธม.ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ) สรุปว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่คุ้มค่ากับความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อนานาอารยประเทศ”


มาดูปฏิกิริยาจากฝ่าย #เลือดข้นคนประชาธิปไตย ไว้ก่อนเป็นอุทธาหรณ์ อย่างเช่น ลิงจุ่น เต่า พิมมาลาที่บอกว่า “เพื่อไทยเหมือนเลือดไหล แต่ที่จริงตอนนี้ท่อสะอาดเกลี้ยงเหมือนทำบายพาสใหม่เลย

ก่อนหน้านี้มีบางคนท้วงเหตุบาดเจ็บของพรรคเพื่อไทยจากการถูกดูดที่ว่าเลือดไหลไม่หยุดนั้น แท้จริงเป็นอาการ หนองไหล เสียมากกว่า พอหนองหมดแผลก็เยียวยา
 
เมื่อวาน (๒๘ พ.ย.) สมศักดิ์ พปชร. โวอีกเรื่องนโยบายพรรค “จะนำเอานโยบายรัฐบาลมาใช้...และพรรคจะมีจุดขายอะไรดึงดูดขอให้รอดูภายใน ๗ วันนี้ จะเห็นอะไรดีๆ” ชัดเจนอย่างนั้นแล้วก็ยังอุตส่าห์กั๊กเรื่องเสนอชื่อประยุทธ์เป็นนายกฯ บอกให้รอปลดล็อคพรรคการเมืองเสียก่อน

ตอนนี้ได้ทีสมศักดิ์ชักเหิม หันไปแขวะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศไว้ว่าไม่มีทางจับมือกับพรรคพลังประชารัฐแน่นอน “แล้วจะไปจับกับใครล่ะ” สมศักดิ์แซะนำร่องให้นายปรีชา เร่งสมบูรณ์ มาซ้ำ

“โอ๊ย ไม่จับหรอกแต่วิ่งตามมาเลย เชื่อผมเถอะอยู่การเมืองมา ๓๐ กว่าปีที่บอกว่าไม่จับๆ สุดท้ายก็วิ่งตามมาหมด” ลูกพรรค พปชร. คุยบ้าง ตีอกชกลมว่ามีอดีต รมต.จากเพื่อไทยไปเข้า พปชร. และพลังประชารัฐจะเหมาหมด ส.ส. จังหวัดเลย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์


ที่เหิมเกริมกันอย่างนั้นเป็นการช่วยโหมประโคมโพลของมหาวิทยาลัยรังสิต โดย ดร.สังคิต พิริยะรังสรรค์ ที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาลิ่ว คนอยากให้เป็นนายกฯ อีก เขาอ้างจากการสุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ๗๗ จังหวัด ๘ พันคน

โพลแถลงว่ามีความเชื่อมั่นทางสถิติ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ (แต่ไม่ได้ระบุว่าวัดอัตราความถูกต้องได้อย่างไร) ทว่าการสำรวจนี้ทำมาทั้งหมดสี่ครั้งในปีนี้คือเดือนพฤษภา-มิถุนา และตุลา-พฤศจิกา เกือบทุกครั้งประยุทธ์มาอันดับหนึ่ง ยกเว้นครั้งที่สองตอนกลางเดือนมิถุนา ๖๑ อภิสิทธิ์คว้าตำแหน่งไปครอง

ดูรายละเอียดได้จาก https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_151625

อย่างไรก็ดี คำอธิบายผลโพลนี่เด็ดดวงมาก อ่านแล้วเคลิ้มไปว่าเป็นปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ย้อนยุคไปคล้ายสมัยเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ นึกว่าทักษิณยังเป็นนายกฯ อยู่ขณะนี้

เขาว่า “พรรคของนายทักษิณ ชินวัตร (ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย) มาถึงจุดที่กำลังตกต่ำเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้...”

ข้อแรก พรรคทักษิณเคยมีพวกเอ็นจีโอ “ช่วยให้พรรคไทยรักไทยสามารถนำเสนอนโยบายและวาทกรรมที่สำคัญ ๒ เรื่อง” คือ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคและกองทุนหมู่บ้าน “แต่ในปัจจุบันเอ็นจีโอส่วนใหญ่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพรรคเพื่อไทย”

ความจริงน่าจะกลับกันนะ ที่ตอนแรกพวกเอ็นจีโอไม่ชอบทักษิณว่าอวดดีไม่ฟังพวกกรู แต่ตอนนี้หลังจากอยู่กับ คสช.มาสี่ปีครึ่งแล้วบ้อท่า ภาคประชาชนกำลังจะแห้งตายเลยต้องปล่อยให้พวกพลเดินเท้าเป็นอิสระ อย่างพวกม็อบควนขนุน จนเดี๋ยวนี้มีชาวสวนยางไม่เอา คสช. ทั่วใต้

ข้อสองเรื่อง ไฮเท็คอ้างว่าไทยรักไทยเคยนำหน้าคนอื่น เดี๋ยวนี้ทุกคนมีเหมือนกันหมด ยุคเพื่อไทยเลยหงอย นี่ก็มั่วซั่วเพราะไฮเท็คมีถ้วนทั่วมาแต่สมัย ทรท. ที่เปลี่ยนก็คือ คสช. แต่ก่อนยังงั่ง พอตั้ง ไอโอก็จ้องแต่จะแฮ้คฝ่ายตรงข้ามเอาไปฟ้องคดี เดี๋ยวนี้ริจะเล่นเฟชบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไอจี ดูผลสิ มีแต่คนเข้าไปด่า ไอทู้บ กันมันปาก

ข้อสามโมเมว่าทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยขาดบุคคลากรทางวิชาการและยุทธศาสตร์ “ทำให้พรรคขาดความสามารถในการสร้างนโยบายการเงินการคลังที่เป็นประโยชน์แก่คนในสังคมส่วนใหญ่ได้”

นี่ถ้าเพิ่มข้อเท็จจริงไปด้วยว่า มิน่า การเงินไม่มีเข้าคลัง การคลังกำลังจะเหือด (เอาไปซื้อรถถัง เรือดำน้ำ หมด) ด้วยละก็ใช่เลย เพราะปล่อยให้พวกทหารทำ..ยำตำบอนมาเกือบห้าปี โดยเฉพาะเรื่องนโยบายจำนำข้าวที่ตอผุดเมื่อเร็วๆ นี้ว่า คสช. นี่เองเอาข้าวในโกดังไปขายเป็นรำเลี้ยงสัตว์ ข้าวก็หาย เงินก็หด

ยังมีข้อสี่ว่า “พรรคเพื่อไทยในขณะนี้ขาดผู้นำที่มีบารมีและมีภาวะผู้นำที่สูงมากพอที่จะรวบรวมสมาชิกจำนวนมากให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้” อันนี้อ่านแล้วต้องหัวเราะก๊าก ก็เขาแตกพรรคแก้กลโกงของ คสช. แล้วทำท่าจะได้ผล พรรค ทษช.เนี้ยกำลังมาลิ่ว จน พปชร.ต้องให้ลิ่วล้อออกมาเที่ยวโกหกพกลมบิดเบี้ยวความจริงอยู่ขณะนี้ไง

ทำเป็นแก้เกี้ยว แก้เก้อ แก้เกม โพลของนิด้าที่ดันให้สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เฉือนลุงตูบล่าสุด ๒๕ ต่อ ๒๔ เปอร์เซ็นต์ คนอยากให้เป็นนายกฯ น่ะ

ตรวจรายชื่อ-อดีตส.ส.ย้ายพรรค แล้วตกใจไปใย





ย้ายพรรค (28 พ.ย. 61)

ตกใจไปใยเรื่องย้ายพรรค
คนมีชนักติดหลังต้องฟังเขา
บาปที่ซุ่มซ่อนเร้นยังเห็นเงา
เขาก็เอากลับมาหลอกเป็นปลอกคอ

แถมเงินสดกอบใหญ่ให้เป็นทาส
คนสะอาดอยู่ได้ไม่ต้องขอ
คนสกปรกไม่ต้องดูดยกตูดรอ
ไหลมาขอกอดส้นเท้าก็เข้าใจ

เพราะการเมืองไร้ซึ่งอุดมการณ์
จึงเลือกพรรคตามสันดานไม่ขานไข
ชั่วอยู่ชั่ว-ดีอยู่ดี มิเป็นไร
แค่ย้ายไปให้ลิบลับอย่ากลับมา!

กาหลิบ.

ที่มา FB

Sa-nguan Khumrungroj


ooo


ตรวจรายชื่อ-อดีตส.ส.ย้ายพรรค





28 พฤศจิกายน 2561
ข่าวสดออนไลน์

ตรวจรายชื่อ-อดีตส.ส.ย้ายพรรค – หลังพ้นกำหนดเส้นตาย 26 พ.ย.ที่นักการเมืองต้องหาสังกัดให้ได้ตามกรอบ 90 วัน ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.2562 ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ามีใครบ้างที่ ย้ายพรรคย้ายขั้ว





ซึ่งปรากฏชื่อของอดีตรัฐมนตรี อดีตส.ส. ที่ย้ายพรรคจำนวนมาก โดยมีมากกว่า 150 คน ทั้งแบบที่ย้ายไปสังกัดพรรคพันธมิตร และพลิกไปอยู่กับพรรคขั้วตรงข้าม

ตามที่ปรากฏเป็นข่าว อดีตส.ส.เพื่อไทยมีสมาชิกย้ายพรรคมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะถูกพลังดูดจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มี 4 รัฐมนตรีในรัฐบาลคสช. เป็นแกนนำ อดีตส.ส.เพื่อไทยย้ายไปอยู่พรรคนี้เกือบ 40 คน

อีกส่วนย้ายไปสังกัดพรรคที่แตกตัวจากเพื่อไทย ทั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่มี ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช เป็นหัวหน้าพรรค, พรรคเพื่อชาติ ของนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ พรรคประชาชาติ ของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และพรรคเพื่อธรรม

โดยมีบางส่วนกระจายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ของ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล

พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีอดีตส.ส.ย้ายพรรครองลงมากว่า 20 คน ถูกพปชร.ดึงตัวไปมากที่สุด รวมทั้งที่ย้ายไปสังกัดพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และย้ายไปอยู่กับ ภท.บางส่วน

ในส่วนของพรรคขนาดกลางอย่างชทพ. และภท. มีอดีตส.ส.ย้ายไปพรรคอื่น แต่ก็มีอดีตส.ส.จากพรรคอื่นย้ายเข้ามาทดแทน

ขณะที่พรรคเก่าเกิดภาวะเลือดไหลออก พรรคใหม่อย่าง พปชร. กับ ทษช. กลับอยู่ในสภาพตรงกันข้าม โดยเฉพาะ พปชร.นั้นคึกคักอย่างยิ่ง ดึงอดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.ย้ายเข้าสังกัดสูงกว่า 80 คน

ตรวจสอบรายชื่อตามที่ปรากฏเป็นข่าว มีรายชื่ออดีตรัฐมนตรี และอดีตส.ส.ย้ายไปเข้าพรรคต่างๆ ดังนี้

พรรคพลังประชารัฐ
อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.จากพรรคต่างๆ ที่มาโดยการทาบทามของกลุ่มสามมิตร และโดย 4 รัฐมนตรีแกนนำพรรค สมาชิกของพปชร.วันนี้จึงเต็มไปด้วยอดีตส.ส.จากพรรคต่างๆแยกได้ดังนี้

พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่เป็นอดีตส.ส.เพื่อไทย บางรายเป็นส.ส.ในยุคไทยรักไทย และพลังประชาชน ประกอบด้วย กำแพงเพชร ซึ่งเป็นอดีตส.ส.ในกลุ่มของนายวราเทพ รัตนากร คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายไผ่ ลิกค์ นายปริญญา ฤกษ์หร่าย นายอนันต์ ผลอำนวย นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์

เพชรบูรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ นายเอี่ยม ทองใจสด นายจักรัตน์ พั้วช่วย นายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์, สุโขทัย นายจักรวาล ชัยวิรัตน์กูล, ลำปาง นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์, นครสวรรค์ นายวีระกร คำประกอบ

อุบลฯ นายสุพล ฟองงาม นายสุทธิชัย จรูญเนตร นายสุชาติ ตันติวณิชชานนท์, เลย นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข นายวันชัย บุษบา, นครราชสีมา นายจำลอง ครุฑขุนทด นายวิรัช รัตนเศรษฐ นางทัศนียา รัตนเศรษฐ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

ร้อยเอ็ด นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล นายเวียง วรเชษฐ์, ศรีสะเกษ นายดนัยฤทธิ์ วัชราภรณ์, ขอนแก่น นายศุภสิธ เตชะตานนท์ นายสมศักดิ์ คุณเงิน, นครพนม นายชูกัน กุลวงษา นายกล่ำคาน ปาทาน, สระแก้ว นายฐานิสร์ เทียนทอง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง, กาญจนบุรี พล.อ.สมชาย วิษณุวงษ์, ลพบุรี นายอำนวย คลังผา, นนทบุรี นายฉลอง เรี่ยวแรง, ตรัง นายทวี สุระบาล

พรรคประชาธิปัตย์ กทม. นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นาย พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกฯ นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. กาญจนบุรี นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ

จันทบุรี นายธวัชชัย อนามพงษ์ นายแสนคม อนามพงษ์, ฉะเชิงเทรา พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ นายบุญเลิศ ไพรินทร์, สระบุรี นางกัลยา รุ่งวิจิตรชัย, นนทบุรี นายทศพล เพ็งส้ม, ชลบุรี นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์, ระยอง นายวิชัย ล้ำสุทธิ

พรรคภูมิใจไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทย หัวหน้ากลุ่มสามมิตร, สุโขทัย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตแกนนำกลุ่มมัชฌิมา แกนนำกลุ่มสามมิตร นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ, ชัยนาท นายอนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร, นครราชสีมา นายภิรมย์ พลวิเศษ แกนนำกลุ่มสามมิตร นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์

ฉะเชิงเทรา นายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ, ราชบุรี นายมานิต นพอมรบดี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา, สมุทรปราการ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก, ยโสธร นาย รณฤทธิชัย คานเขต นายพิกิฏ ศรีชนะ, หนองบัวลำภู ว่าที่ พ.ต.สรชาติ สุวรรณพรหม

พรรคชาติพัฒนา ชัยนาท นายมณเฑียร สงฆ์ประชา, ราชบุรี นายทวี ไกรคุปต์, นางปารีณา ไกรคุปต์ ปาจรียางกูร, ฉะเชิงเทรา นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์, นครพนม นพ.อลงกต มณีกาศ, สุรินทร์ นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา, นราธิวาส นายวัชระ ยาวอหะซัน, นครสวรรค์ นายภิญโญ นิโรจน์

พรรคพลังพลเมืองไทย ศรีสะเกษ นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์, นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล, นายมงคล จงสุทธานามณี

พรรคพลังชล ชลบุรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม, นายสันต์ศักย์ จรูญงามพิเชษฐ์, นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์, ศรีสะเกษ นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ

พรรคชาติไทยพัฒนา สิงห์บุรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์รวมทั้งนายสุชน อินทเสม อดีตส.ว.ประจวบคีรีขันธ์

และคนดัง ‘มาดามเดียร์’ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี อดีต ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทยชุดอายุ 23 ปี พริตตี้อ้อแอ้- น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น

พรรครวมพลังประชาชาติไทย

ส่วนใหญ่มาจากอดีตส.ส.ภาคใต้ของปชป. นำโดยนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการกปปส. ร่วมด้วย อดีตส.ส. สุราษฎร์ธานี นายเชน เทือกสุบรรณ, นายธานี เทือกสุบรรณ, นราธิวาส นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ นายรำรี มามะ, นายเจะอามิง โตะตาหยง, ยะลา นายอับดุลการิม เต็งกะรีนา, ปัตตานี นายรามัน นายซาตา

คนดัง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รวมทั้ง นายพิเชฐ พัฒนโชติ และนายประสาร มฤคพิทักษ์ แนวร่วมกปปส.

พรรคประชาธิปัตย์

ถ้าไม่นับรวมการเปิดตัวกลุ่มนิวเด็ม คนรุ่นใหม่ เท่าที่ปรากฏอดีตส.ส.ที่ย้ายมามีเพียงนายอร่ามอาชว์วัต โล่ห์วีระ อดีตส.ส.ชัยภูมิ พรรคความหวังใหม่

สำหรับคนดังประกอบด้วย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต., พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม อดีตรองผบช.น., นายจงรวย สมจิตนา หรือ หยอง ลูกหยี นายกสมาชิกศิลปินตลก, นายธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ หรือ เช็ง สุพรรณ คนดังวงการพระเครื่อง

พรรคภูมิใจไทย

แม้จะมีอดีตส.ส.ย้ายไป พปชร.ไม่น้อย แต่สามารถดึงอดีตส.ส.จากพรรคอื่นเข้ามาเสริมได้ดังนี้

พรรคชาติพัฒนา ย้ายมามากที่สุด ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม นิวบลัด ประกอบด้วย อ่างทอง นายภราดร ปริศนานันทกุล, นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล, ศรีสะเกษ นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ, พิจิตร นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รวมทั้งอุทัยธานี นายชาดา ไทยเศรษฐ์, ชัยภูมิ นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์

พรรคเพื่อไทย ชัยภูมิ นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ น.ส.สุนทรี ชัยวิรัตนะ, หนองคาย ว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธ์ สุนทรชัย

พรรคประชาธิปัตย์ นครสวรรค์ นายสมควร โอบอ้อม, ชลบุรี นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์

ร่วมด้วย นายมงคล ศรีกำแหง อดีตส.ว.จันทบุรี นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ อดีตส.ว.ราชบุรี

พรรคชาติไทยพัฒนา

เช่นเดียวกับ ภท. เมื่อมีอดีตส.ส.ที่ถูกดูดก็มีไปดึงจากพรรคอื่นมาเสริม ประกอบด้วย

พรรคภูมิใจไทย ขอนแก่น นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ

พรรคเพื่อไทย นครปฐม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ นายอนุชา สะสมทรัพย์ นายก่อเกียรติ สิริยะเสถียร, สุพรรณบุรีนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ, สมุทรสาคร นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์

พรรคชาติพัฒนา นครราชสีมา นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก

พรรคมาตุภูมิ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

พรรคไทยรักษาชาติ

แตกตัวมาจากพรรคเพื่อไทย อดีตส.ส.ที่ย้ายมาแทบทั้งหมดจึงมาจากแกนนำและอดีตส.ส.เพื่อไทย

พรรคเพื่อไทย ขอนแก่น ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค, ฉะเชิงเทรา นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายวุฒิพงษ์ ฉายแสง นางฐิติมา ฉายแสง, แพร่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล, พิจิตร น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร, พิษณุโลก นายหัสนัย สอนสิทธิ์, สิงห์บุรี นายพายัพ ปั้นเกตุ

อดีตส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์-แกนนำนปช. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นพ.เหวง โตจิราการ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ

พรรคประชาธิปัตย์ สตูล นพ.อสิ มะหะมัดยังกี รวมทั้ง นิคม ไวยรัชพานิช อดีตรองประธานส.ว.

พรรคเพื่อธรรม

นางนลินี ทวีสิน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ พรรค เพื่อไทย

พรรคเพื่อชาติ

สมาชิกที่เปิดตัวล้วนมาจากอดีตส.ส.เพื่อไทย และไทยรักไทย ทั้งนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค นายยงยุทธ ติยะไพรัช และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สนับสนุนพรรค

ยังมี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ และ นางลินดา เชิดชัย อดีตส.ส.นครราชสีมา นางบุศรินทร์ ติยะไพรัช อดีตส.ส.เชียงราย นางลลิตา ฤกษ์สำราญ อดีตส.ส.กทม.

พรรคประชาชาติ

มีอดีตส.ส.ภาคใต้หลากหลายพรรคเข้าร่วม ดังนี้ กลุ่มวาดะห์พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค อดีตส.ส.ยะลา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีตส.ส.นราธิวาส

ร่วมทั้ง นายสุดิน ภูยุทธานนท์ อดีตส.ส.ปัตตานี พรรคความหวังใหม่ นายนัจมุดดีน อูมา อดีตส.ส.นราธิวาส พรรคมาตุภูมิ นายมูฮำมัดอารีฟีน จะปะกิยา อดีตส.ส.ปัตตานี พรรคชาติไทยพัฒนา นายอนุมัติ ชูสารอ อดีตส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ นายนิมุคตาร์ วาบา อดีตส.ส.ปัตตานี พรรคภูมิใจไทย

ยังมีอดีตส.ว. คือ นายต่วนอับดุลเล๊าะ ดาโอ๊ะมารียอ อดีตส.ว.ยะลา นายอับดุลลายี สาแม็ง อดีตส.ว.ยะลา นายวรวิทย์ บารู อดีตส.ว.ปัตตานี นายมุข สุไลมาน อดีตส.ว.ปัตตานี นายภิญโญ สายนุ้ย อดีตส.ว.กระบี่

มีคนดังร่วมเป็นแกนนำ อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตเลขาธิการศอ.บต.เป็น เลขาธิการพรรค นายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ นายนิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม และ พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้แทนพิเศษรัฐบาลแก้ปัญหาชายแดนใต้ เป็นรองหัวหน้าพรรค


จำนวนเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ สำนักข่าวหงวนจัดให้




จำนวนเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ77จังหวัดรวม 350 เขต (แต่ละเขตมี สส.เพียง1คน)
(เรียบเรียงโดย สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ 28 พฤศจิกายน 2018)

*30 เขต(1 จังหวัด)--กรุงเทพมหานคร
*14 เขต(1 จังหวัด)--นครราชสีมา
*10 เขต(2 จังหวัด)--ขอนแก่น อุบลราชธานี
*9 เขต(1 จังหวัด)--เชียงใหม่
*8 เขต(6 จังหวัด)--ชลบุรี นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สงขลา อุดรธานี
*7 เขต(4 จังหวัด)--เชียงราย ร้อยเอ็ด สมุทรปราการ สุรินทร์
*6 เขต(6 จังหวัด)--ชัยภูมิ นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี สกลนคร สุราษฎร์ธานี
*5 เขต(7 จังหวัด)--กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ นครปฐม พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม ราชบุรี
*4 เขต(10 จังหวัด)--กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา นครพนม นราธิวาส ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ระยอง ลพบุรี ลำปาง สุพรรณบุรี
*3 เขต(20 จังหวัด)--จันทบุรี ชุมพร ตรัง ตาก น่าน ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี ยโสธร ยะลา เลย สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สุโขทัย หนองคาย หนองบัวลำพู
*2 เขต(11 จังหวัด)--กระบี่ ชัยนาท บึงกาฬ แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร ลำพูน สตูล อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี
*1 เขต( 8 จังหวัด)--ตราด นครนายก พังงา แม่ฮ่องสอน ระนอง สมุทรสงคราม สิงห์บุรี อ่างทอง


Sa-nguan Khumrungroj

...

อย่าทำให้การเมือง เป็นเพียงแค่เรื่องของผู้ใหญ่


...






อย่าทำให้การเมือง เป็นเพียงแค่เรื่องของผู้ใหญ่
.
ยังคงผู้ใหญ่บางกลุ่ม บางคน มีทัศนคติที่ว่า “เป็นเด็กก็เรียนไป ไม่ต้องมายุ่งกับการเมือง ไว้เรียนจบแล้วค่อยมายุ่ง” บอลเองไม่เห็นด้วยกับทัศนคติเช่นนี้เป็นอย่างมาก เพราะบอลเชื่อว่า “การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของผู้ใหญ่ หรือเรื่องของนักการเมืองเท่านั้น
.
แน่นอนว่าการเมืองที่ผู้ใหญ่ผูกขาดตนเองอยู่ในทุกวันนี้ มันส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากแค่ไหนในอนาคต ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เราไม่ได้เลือก แต่เรากลับต้องรับผลกระทบจากมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรา “คนรุ่นใหม่” ต้องคอยแต่รอรับผลกรรมที่เหล่า “ไดโนเสาร์” ได้ทิ้งเป็นมรดกไว้ให้เราอยู่เสมอ
.
นี่จึงเป็นเหตุผลครับ ว่าทำไมการเมืองมันจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องของคนทุกคน ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นการเมือง แม้แต่การกินข้าว 1 จาน ในชีวิตประจำวัน นโยบายข้าวของรัฐบาล ในการได้มาซึ่งข้าวบนจานของเรา นโยบายในการตรึงราคาสินค้าของรัฐบาล ในการได้มาซึ่งกับข้าวบนจานอาหารของเรา หรือแม้แต่ค่าแรงของพนักงานร้านอาหารที่เสิร์ฟข้าวให้เรา ก็เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐ เราจึงไม่สามารถปฏิเสธ “การเมือง” ในชีวิตของเราได้เลย ยิ่งเราหลีกหนีมันมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งส่งอิทธิพลต่อเรา โดยที่เราไม่มีแม้แต่โอกาสได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันมากขึ้นเท่านั้น
.
การเมืองก้าวแรกของบอลไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสำเร็จ หากแต่เริ่มต้นด้วยความล้มเหลว การเมืองก้าวต่อมาของบอลไม่ได้คงอยู่ด้วยผลประโยชน์ส่วนตน หากแต่คงอยู่ด้วยความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ ในความเท่าเทียมกัน ในสวัสดิการถ้วนหน้า ในการเคารพสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกัน ในการที่อยากจะเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงในสังคมไทย และในการที่อยากจะเห็นความเหลื่อมล้ำหมดไปจากสังคมไทย
.
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งไหน ที่ไม่เกิดการลุกขึ้นมาต่อสู้ และไม่มีการต่อสู้ครั้งไหน เกิดขึ้นได้เพราะคนเพียงคนเดียว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม บอลถึงเลือกที่จะทำงานร่วมกับสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกัน เพราะ เรามีฝันร่วมกันครับ ฝันที่อยากจะเห็นสังคมนี้มีความเท่าเทียมกัน ฝันที่อยากจะเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย ฝันที่อยากจะเห็นทุกคนเคารพในความเป็นคนเหมือนๆ กัน และฝันที่จะปลดแอกสังคมนี้ออกจากวังวนเดิมๆ ที่กีดขวางไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า ก้าวย่างที่จะนำพาเราไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้
.
ผมขอเชิญชวนทุกคนที่มีฝันนี้ มาร่วมกัน ”เปลี่ยน” ประเทศนี้ให้ดีขึ้น ร่วมกันไขว่คว้า “โอกาส” ของเราในการกำหนดอนาคตของตนเอง แล้วเราจะนำพาประเทศนี้ให้พบกับแสงสีทองไปด้วยกันครับ
.
ธนวัฒน์ วงค์ไชย
ประธานยุทธศาสตร์
สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)


ธนวัฒน์ วงค์ไชย - Tanawat Wongchai


อะไรจะเป็นปัจจัยชี้ชะตาการเลือกตั้งปี 62 - พลังอุดมการณ์ทางการเมืองประชาธิปไตย ฤ นโยบายเศรษฐกิจ "ประชารัฐ" ลด แลก แจก แถม ดะ





บทบรรณาธิการ : ผู้ชี้ชะตา


29 พฤศจิกายน 2561
ข่าวสดออนไลน์


บทบรรณาธิการ : ผู้ชี้ชะตา – เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นเส้นตายการย้ายพรรคของนักการเมืองและอดีตส.ส.ทั้งหลาย ตามเงื่อนไขของกฎหมายเลือกตั้งที่กำหนดไว้ว่าต้องสังกัดพรรคที่จะลงรับสมัครเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน

พรรคการเมืองที่มีอดีตส.ส.ย้ายออกไปมากที่สุด ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ส่วนหนึ่งย้ายไปสังกัดพรรคพันธมิตรตามยุทธศาสตร์เก็บคะแนนที่ตกน้ำ อีกส่วนหนึ่งย้ายไปท่ามกลางกระแสข่าวด้านค่าใช้จ่าย การเอื้อประโยชน์ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง การช่วยเหลือทางคดี และคลายทุกข์ให้เครือญาติ

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับผล กระทบด้วยไม่น้อย มีอดีตส.ส.ในจังหวัดภาค ตะวันออก ภาคกลางบางส่วน รวมถึงกรุงเทพ มหานครก็ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นเช่นกัน

พรรคพลังประชารัฐคือชุมทางที่ไหลรวมกลุ่มเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม แม้พรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร และมีอดีตส.ส.เข้าไปสังกัดจำนวนมหาศาล แต่ก็สะท้อนความเป็นกลุ่ม ก๊ก ก๊วนอย่างเด่นชัด

หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นคนของรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เคยลงสมัครส.ส.และลง สมัครส.ส.ไม่ได้ จะสามารถควบคุมบริหารงานบุคลากรที่มีความหลากหลายได้หรือไม่

แม้จะมีทรัพย์สิน เงินทอง และอำนาจรัฐอยู่ ในมือ ก็ใช่ว่าจะดำเนินการอย่างราบรื่น รวมทั้งจะจัดสรรตำแหน่งหน้าที่อย่างไรไม่ให้มีความ ขัดแย้งกันภายใน ถ้าหากชนะเลือกตั้งขึ้นมา

เป็นเรื่องที่น่าติดตาม เพราะพรรคการเมืองลักษณะนี้เคยมีบทเรียนมาแล้ว

ประการสำคัญ แม้ว่าพรรคนี้จะได้ตัวอดีตส.ส. อดีตนักการเมือง รวมทั้งเป็นที่ไหลรวมของเทคโนแครตบางกลุ่ม แต่คะแนนเสียงจากประชาชนผู้ชี้ขาดในวันเลือกตั้งจะได้ตามไปด้วยหรือไม่

การเลือกตั้งที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดแล้วว่านักการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ ไร้หลัก ไหลไปตามกระแสของอำนาจ รวมทั้งอามิสสินจ้างอื่นๆ มักจะหมดที่ยืนในทางการเมือง

พลังของประชาชนอันแข็งแกร่งที่ถูกอำนาจเผด็จการกดทับมาตลอด 4 ปี กับนโยบาย ประชารัฐ ที่ลด แลก แจก แถม ยิ่งกว่าประชานิยม จะเป็นเครื่องพิสูจน์ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอน

ผู้มีสิทธิเลือกทั้งประเทศจะเป็นผู้พิพากษาและชี้ชะตา

...



อ่านเรื่องตลกร้าย...








"วิษณุ" เผย กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งเสร็จแล้ว เตรียมประกาศราชกิจจานุเบกษาเร็วๆ นี้ ชี้อำนาจ กกต.ถือเป็นที่สุด หากไม่ยอมรับไปร้องศาลปกครองได้.!!





NEWS1

Published on Nov 28, 2018

...

...“วิษณุ” เผย กกต.แบ่งเขตเสร็จแล้ว เตรียมประกาศราชกิจจานุเบกษาเร็วๆ นี้ ชี้อำนาจ กกต.ถือเป็นที่สุด หากไม่ยอมรับไปร้องศาลปกครองได้.!!

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการแบ่งเขตเลือกตั้งว่า ไม่รู้ว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งควรจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนอื่นไม่มีสิทธิ เพียงแต่เมื่อมีเรื่องร้องเรียนมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็รับเรื่องและส่งไปยัง กกต.

ซึ่งเคยส่งไปแล้ว 1-2 ครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นข้อร้องเรียนที่จังหวัดใด เมื่อถามว่า มีบางพรรคการเมืองร้องเรียนเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง เช่น ที่ จ.สุโขทัย และ จ.กาญจนบุรี นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะเมื่อ คสช.ส่งเรื่องร้องเรียนมาที่ตน ตนก็ส่งไปยัง กกต.ทันที จึงไม่ได้ดูรายละเอียด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีผู้ร้องเรียนเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งมาก่อนแล้ว จึงเป็นที่มาของการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561

“เมื่อมีการร้องมา เราก็ถามไปที่ กกต.ว่าทำไมจึงมีการร้อง กกต.อธิบายว่า เขาถูกจำกัดด้วยเรื่องระยะเวลาที่เขาเป็นฝ่ายกำหนดเอง แต่เขาก็ต้องยึดตรงนั้น และระบุด้วยว่า ถ้ามีเวลามากกว่านี้ จะทำได้ละเอียด เพราะเขายอมรับว่ายังมีบางจังหวัดที่ทำได้ไม่ละเอียด ดังนั้น คำสั่ง คสช.ดังกล่าวจึงเป็นเพียงการขยายเวลาให้ กกต. ไม่ได้ให้ไปแบ่งเขตว่าต้องออกมาเป็นอย่างไร” นายวิษณุ กล่าว.

เมื่อถามว่า จะอธิบายอย่างไรต่อบางฝ่ายที่ตีความ คำสั่งคสช.ที่ 16/61 เป็นการครอบงำการแบ่งเขตของ กกต. นายวิษณุกล่าวว่า “ไม่ต้องอธิบายอะไร ผมได้ทราบว่าเขาแบ่งเสร็จแล้ว โดยแจ้งมาเมื่อวานนี้ (27 พฤศจิกายน) แต่ยังไม่ได้ส่งมา เมื่อส่งมาก็คงประกาศลงราชกิจจานุเบกษาในไม่ช้า และเมื่อประกาศในราชกิจจาฯแล้วก็ไม่สามารถร้องเรียนได้ เพราะอำนาจเป็นของ กกต. เมื่อ กกต.แบ่งแล้วก็จบ คราวที่แล้วยังไม่ได้มีประกาศอะไร ยังไม่มีใครรู้ว่าจะแบ่งเขตกันอย่างไร เพียงแต่เมื่อมีการร้องเรียนกันมาก กกต.ก็ต้องการเวลา จึงออกคำสั่งเพื่อให้เวลาเท่านั้น”

เมื่อถามว่า หากออกประกาศแล้ว แต่การแบ่งเขตไม่ตรงกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน จะทำอย่างไร นายวิษณุกล่าวว่า “ก็ถือว่าถึงที่สุด คำนี้เป็นคำในกฎหมาย อาจจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่ถือว่ามันถึงที่สุด” เมื่อถามต่อว่า แม้จะถึงที่สุดแล้ว แต่ถ้ามีคนเห็นต่าง จะสามารถร้องเรียนกับองค์กรใด นายวิษณุกล่าวว่า “ต้องไปร้องศาลปกครอง แต่ระหว่างที่ศาลยังไม่สั่งอะไร เขาก็เดินหน้าต่อไป”
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล

ขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
เผยแพร่ วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2561

https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_151655…




วันพุธ, พฤศจิกายน 28, 2561

อีกสูตรเชื่อว่า ‘พลังประชารัฐ’ มาแน่ แต่ ‘ศรัทธา’ ของฝ่าย ‘ถูกเอารัดเอาเปรียบ’ ฮึดสู้

อีกสูตรตั้งรัฐบาลที่เชื่อว่า พลังประชารัฐมาแน่ เป็นนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า เห็นว่า วิชาดูดได้ผล เพราะคั้นหัวกระทิได้ประมาณ ๕๐ เขต แม้อีก ๓๐๐ เขตที่เหลือไม่ชนะ

ทว่าคะแนนเฉลี่ยใช้ได้ ทำให้จะมี ส.ส. แบบจัดสรรปันส่วนผสมถึง ๘๐ ที่นั่ง รวมกับ ส.ส.เขต เป็น ๑๓๐ ซึ่งร่วมกับ สว.๒๕๐ คนที่ คสช.ตั้งกับมือไว้โหวตเลือกนายกฯ ถ้า พปชร.เสนอชื่อประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ขาดลอย เกิน ๓๗๖ เสียงสบายๆ

แต่นายสติธร ธนานิธิโชติ บอกกับ คมชัดลึกว่า พปชร. “ไม่มีทางที่จะจัดตั้งรัฐบาลด้วยพรรคการเมืองเดียวแน่นอน อย่างน้อยต้องมี ๒-๓ พรรคเข้าร่วม” เขาคงหมายถึงแม้ได้ตัวนายกฯ แต่รัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะวุฒิสภาไม่สามารถโหวตร่างกฎหมายหรือให้ความไว้วางใจรัฐบาลได้

ดังนั้น พปชร.ต้องพึ่งพรรคการเมืองอื่นที่แข็งๆ สักสองพรรค พรรค รปช. ของ สุเทือก และพรรค ปชช. ของไพบูลย์ นิติตะวัน ไม่เข้าขั้น ไม่พอยาไส้ เขาแนะให้ถนอมน้ำใจเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ไว้ ถึงแม้เขาคิดว่าเพื่อไทยจะไม่ได้ ส.ส.จำนวนมากเหมือนปี ๒๕๕๔

“ปี ๒๕๕๔ พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. ๒๐๐ ที่นั่ง มีคะแนนเลือกตั้งเฉลี่ยต่อเขตที่ ๕.๑ หมื่นคะแนน มีคะแนนรวมทั้งประเทศที่ ๑๐.๕ ล้านคะแนน ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส.ตามระบบใหม่” ในเมื่อระบบใหม่ที่ลดจำนวนเขตลงเหลือ ๓๕๐ ทำให้คะแนนต่อ ส.ส. ๑ คนอยู่ที่ ๗ หมื่นคะแนน

ในเมื่อเพื่อไทยใช้วิธีแตกหน่อพรรคย่อยออกไปเพื่อเก็บคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่นายสติธรไม่คิดว่าพรรคที่แตกหน่อเหล่านั้นจะสามารถเก็บคะแนน แบบจัดสรรปันส่วนผสมได้เกิน ๕๐ ที่นั่ง ขณะที่พรรค ปชป. จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก


น่าเสียดายที่นายสติธรไม่ยอมเผยไต๋ว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่กระอักกับชั้นเชิงกฎหมายวิเศษนิยมของ คสช. ทั้งที่มีคนอยากรู้กันเยอะว่า ปชป.มีดีอะไรแฝงอยู่แค่ไหน

นอกเหนือจากในเลือกตั้งคราวนี้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. (ที่ครั้งก่อนเป็น หอเอียงเมืองปิ๊ซ่า เข้าข้างการบอยคอตเลือกตั้งและกวักมือเรียกรัฐประหารของ ปชป.)

อย่างไรก็ดีพรรค พปชร. ขยับคุยทับว่าตอนนี้มีผู้สมัครเข้าพรรค เกินคาดหมายกว่า ๑,๓๐๐ คนแล้ว และ “การที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” นั้น “มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย

จุดเด่นคือประยุทธ์ดังอยู่แล้ว จุดด้อยประยุทธ์ “ไม่สามารถจะช่วยพรรคหาเสียงได้” นายวิเชียร ชวลิต นายทะเบียนของ พปชร.อ้าง ซึ่งก็มีปฏิกิริยาจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในสไตล์กรีดกลับว่า การที่ พปชร.ดูดอดีต ส.ส. ของ ปชป.ไป ๑๗ คนน่ะ หลังเลือกตั้งแล้วอาจจะยังเป็นอดีต ส.ส.ต่อไปก็ได้

ทางฝ่ายเพื่อไทยก็ไม่ยี่หระเช่นกัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และแกนนำพรรคเพื่อไทย สวนกลับคำโอ่ของนายทะเบียนพรรค พปชร. ว่า “การออกไปของอดีต ส.ส. ไม่ได้ทำให้พรรคกระเทือนหรือทำให้พวกเราเสียขวัญ เพราะเราเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว”
นายวัฒนา เมืองสุข ทบทวนความหลังเมื่อครั้งถูกงูเห่าเนรวินหักหลังไปยกมือให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ส.ส.กลุ่มนั้นของนายเนวิน ชิดชอบ มีถึง ๓๗ คน “แต่ครั้งนี้เสียไปเพียง ๒๓ คนและเป็นเพียงอดีต ส.ส. ซึ่งยังไม่รู้ว่าประชาชนจะเลือกกลับเข้ามาหรือไม่”


จึงเป็นสมการที่ต้องพิสูจน์ว่าการวิเคราะห์คำนวณของใครจะแม่นระหว่างสรรพคุณ ส.ส. เกรดเอของนักวิชาการพระปกเกล้า กับอดีต ส.ส. ที่ยังไม่รู้หมู่จ่าในสายตาแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเมื่อการขับเคลื่อนของฝ่ายตระกูลเพื่อนั้นแยบยลไม่เบา

ขณะที่สมาชิกเพื่อไทยในแถบ คนรุ่นใหม่ นักวิชาการ และที่โดดเด่นในกระบวนการรรรงค์เพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนย้ายไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. กันเนืองแน่น และได้พบกับการตอบรับจากประชาชนอย่างดีทีเดียว โดยที่คงเหลืออยู่ในพรรคเพื่อไทยเป็นสายการเมืองที่เดิมเคยมีคะแนนเสียงแน่นหนา

พัฒนาการล่าสุดปรากฏออกมาว่า ทางเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์จะเป็นผู้ที่พรรคเสนอชื่อสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทย และประกาศจะออกรณรงค์ปราศรัยหาเสียงให้แก่พรรค

ส่วน ทษช. นั้นก็ได้มีมติแต่งตั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง เข้าเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ และกำหนดตัวไว้เป็นผู้ที่พรรคจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนกรานอีกครั้งว่า ทษช. จะไม่ร่วมสังฆกรรมการเมืองกับประยุทธ์อย่างแน่นอน
ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิชย์ หัวหน้าพรรค ทษช.ให้ความเห็นต่อการที่พรรคเพื่อไทยได้ โอ๊คเข้าไปเติมเต็มเพื่อการเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่ว่า “หากพรรคเพื่อไทยชูนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้นำการปราศรัยการเสียงในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคไทยรักษาชาติพร้อมที่จะแข่งขันอย่างเต็มที่”


เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่กล่าวได้ว่า ถูกเอารัดเอาเปรียบ มากกว่าใครๆ แต่ก็ฮึดสู้อย่างไม่ย่นย่อ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคงจะทำให้ได้รับในสิ่งที่ วัฒนา เมืองสุข มุ่งหมายไว้ คือ ศรัทธา “ที่จะเป็นกำแพงให้เราพิงและจะหนุนเราให้ก้าวไปข้างหน้า”

เวทีสิทธิมนุษยชนอีสานเห็นพ้องชาวอีสานและคนไทยถูกรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 “การรัฐประหารประสบความสำเร็จในการทวงคืนอำนาจ จากขบวนการประชาชนที่เติบใหญ่ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา"





อีสานถูกละเมิดสิทธิจากรัฐและทุนต่อเนื่องหลังรัฐประหาร


26/11/2018
THE ISAAN RECORD


ขอนแก่น – เวทีสิทธิมนุษยชนอีสานเห็นพ้องชาวอีสานและคนไทยถูกรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ผ่านโครงการพัฒนาที่ลงมาในพื้นที่โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ขณะที่การพัฒนาเมืองขอนแก่นกลายเป็นดาบสองคมที่ส่งผลเสียต่อคนจนที่จะต้องถูกเบียดขับออกไปเนื่องจากที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้นมีราคาแพง

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ที่ห้องประชุม 3 อาคาร HO 05 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.ขอนแก่น ร่วมกับเดอะอีสานเรคคอร์ด และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน จัดเทศกาลสิทธิมนุษยชนอีสาน ครั้งที่ 9 โดยมีผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย นักศึกษา ม.ขอนแก่น ชาวบ้านจากชุมชนต่างๆ ในภาคอีสาน และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมกว่า 300 คน

ช่วงเช้า นิรันดร์ พิทักษ์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ปาฐกถาเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิคนหรือสิทธิใคร ว่า หลังการรัฐประหาร เมื่อปี 2557 กฎหมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ล้วนมาจากกระบวนปืน นี่คือลักษณะของสังคมไทยที่ยังผิดเพี้ยน การกระทำต่างๆ ของผู้นำประเทศเวลานี้อ้างว่าทำตามกฎหมาย แต่ไม่มีการคำนึงว่ากฎหมาย (รวมถึงคำสั่งคณะรัฐประหาร และรัฐธรรมนูญ มาตรา 44) เป็นผลพวงของการรัฐประหาร

“ตรงนี้คือสิ่งที่สังคมไทยยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้คือสิ่งที่มีปัญหา เพราะว่ามีกฎหมายที่ไม่เกิดความชอบธรรม” นิรันดร์กล่าวและว่า กฎหมายที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน อาทิ มาตราการทวงคืนผืนป่า การประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ การประกาศยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารเป็นเจ้าพนักงานและผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่มีอำนาจบังคับและปราบปราม

อดีตกรรมการกสม. ผู้นี้ ระบุว่า ไม่สามารถปฏิเสธความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งต้องใช้ความมั่นคงของประชาชนทั่วไป (คนเล็กคนน้อย) เป็นที่ตั้ง แต่การใช้อำนาจของรัฐบาลเผด็จการกระทบต่อหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งทำให้เกิดปัญหา ต่อผู้ที่คิดเห็นแตกต่างและหลากหลาย ใน 6 ประการ ได้แก่ ทรัพยากรธรมชาติ/สิ่งแวดล้อม การเมือง สุขภาพ การศึกษา เกษตกร ความยากจน/ความเหลื่อมล้ำ

“รัฐใดที่ไม่ยอมรับคุณค่าสิทธิมนุษยชน ย่อมเป็นรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย ย่อมเป็นรัฐที่ต่อต้านประชาชน ทำร้ายประชาชน และทำร้านสังคม” นิรันดร์กล่าวทิ้งท้ายถึงบทสรุปของสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตั้งแต่ปี 2557 – ปัจจุบัน



ดร.ฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี กล่าวว่า รัฐบาลในปัจจุบันพยายามทำให้ประชาชนมีสภาพคล้ายเป็นมนุษย์จักรกลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ


วงเสวนาสิทธิคนตัวเล็กตัวน้อยที่ยืนไหวคลอน ดร.ฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี เริ่มต้นด้วยการฉายภาพมนุษย์จักรกลแล้วระบุว่า รัฐพยายามทำให้ประชาชนมีสภาพคล้ายเป็นมนุษย์จักรกลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง รัฐมีกลไกควบคุมประชาชนทำให้โครงการสร้างสังคมที่อยุติธรรมคงอยู่ต่อไป

“การรัฐประหารประสบความสำเร็จในการทวงคืนอำนาจ จากขบวนการประชาชนที่เติบใหญ่ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้รัฐใช้มาตราการเข้มข้นในการควบคุมสังคม” ฐิติพลบอกและว่า ขณะนี้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมสนับสนุนอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ส่งผลให้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมมีอำนาจมากยิ่งขึ้น



ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชาคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า โครงการไฟฟ้ารางเบาที่จังหวัดขอนแก่นมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ถูกคำนึงถึงคือคนซึ่งอาศัยอยู่บริเวณแนวรถไฟฟ้าที่จะต้องถูกไล่ที่จากการพัฒาเมืองขอนแก่น


ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเตรียมสร้างโครงการไฟฟ้ารางเบาที่จังหวัดขอนแก่นมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ถูกคำนึงถึงคือคนซึ่งอาศัยอยู่บริเวณแนวรถไฟฟ้าที่จะต้องถูกไล่ที่จากการพัฒาเมืองขอนแก่น เพราะการที่มีรถไฟฟ้าจะทำให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีราคาแพงขึ้น

“พวกเขา (คนซึ่งอาศัยอยู่บริเวณแนวรถไฟฟ้า) ไม่เคยถูกถาม ไม่เคยถูกนับว่าเป็นประชากร และไม่มีใครสนใจว่าเขาจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน” บุญเลิศกล่าว



ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.มหาสารคาม กล่าวว่า ปัจจุบันอำนาจรัฐมีมากขึ้น ข้าราชการมีอำนาจมากขึ้นกว่าคนทั่วไป (คนตัวเล็กตัวน้อย) ทำให้คนเหล่านี้ ไม่มีอำนาจในการต่อรองกับอำนาจรัฐ


อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยาผู้นี้ กล่วอีกว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดสิทธิเอาไว้หลายประการ แต่สิทธิที่ไม่เคยถูกตระหนักคือสิทธิในที่อยู่อาศัย สิทธิในที่อยู่อาศัยไม่ถูกนำมาใช้สำหรับคนจน ตรงข้ามกับคนที่มีฐานะซึ่งสิทธิเสียงของพวกเขามักจะมีผู้รับฟังอยู่เสมอ

ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันส่งผล 2 ประการ คือ ประการแรก อำนาจรัฐมีมากขึ้น ข้าราชการมีอำนาจมากขึ้น คนทั่วไป (คนตัวเล็กตัวน้อย) ไม่มีอำนาจในการต่อรอง ผลที่ตามมาคือมีการใช้อำนาจรัฐบังคับประชาชนให้ออกจากที่ดินทำกิน ประการต่อมา รัฐเผด็จการเป็นรัฐที่เอื้อต่อการพัฒนาในกระแสเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (ทุนเคลื่อนไหวข้ามพรมแดน) มากที่สุด เช่น การเกิดขึ้นของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งหากมีใครขัดขวางโครงการพัฒนาภาครัฐก็จะถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ และกฎหมายคอมพิวเตอร์

“การใช้กฎหมายดังกล่าวเป็น SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation – SLAPP หรือ การใช้กฎหมายเพื่อยุติการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะโดยไม่หวังผลในทางคดี) ขณะนี้ทุนนิยมที่เข้ามาในภาคอีสานเต็มไปด้วยทุนข้ามชาติ เนื่องจากภายใต้พื้นดินอีสาน มีทรัพยากรที่สำคัญ คือ ปิโตรเลียม ทองคำ และโปแตช” ไชยณรงค์กล่าว

อาจารย์คณะสาขาวิชาการพัฒนาชุมชนผู้นี้ยังเรียกร้องให้คนทั่วไปอย่ายอมจำนวนต่อสถานการณ์การพัฒนาที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน สำนึกของคนตัวเล็กตัวน้อยควรก้าวข้ามปัญหาความขัดแย้งของตัวเอง แล้วร่วมกับคนกลุ่มอื่นๆ อาทิ คนจนเมือง คนที่มีปัญหาป่าไม้และที่ดิน คนที่มีปัญหาจากการสร้างเหมืองแร่ ควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ในขณะที่คนอีสานควรก้าวข้ามปัญหาของตัวเองแล้วสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายประชาภาคอื่นๆ แล้วจัดทำเครือข่ายของคนทั่วประเทศแบบหลวมๆ

ช่วงบ่ายมีเวทีสิทธิมนุษยชนในโลกกว้าง มุมมองอิสระ ซึ่งผู้พูดได้แก่เอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่การทูต จากสถานเอกอัครทูตต่างๆ ที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ อาทิ สวีเดน และเนเธอแลนด์ โดยก่อนจะเริ่มงานมีการยืนสงบนิ่งเพื่อรำลึกถึง นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักกิจกรรมสังคม ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และถูกคุมขังเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว

ช่วงสุดท้ายคือ สิทธิชุมชนกับการพัฒนาอีสานอย่างยั่งยืน ซึ่งมีการแบ่งเวทีย่อยออกเป็น 2 ส่วน นายณัฐวุฒิ กรมภักดี สมาชิกกลุ่มพลเมืองรุ่นใหม่ กล่าวในเวทีการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานว่า อำนาจในการพัฒนาเมืองขอนแก่นเกิดจากอำนาจจากส่วนกลางในสมัยรัฐจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปัญหารถติดในปัจจุบัน เนื่องจากมีการวางผังเมืองขอนแก่นเลียนแบบนครชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมทำให้มีสี่แยกจำนวนมาก ทั้งพื้นที่ของเมืองขอนแก่นมีขนาดเล็กกว่านครชิคาโก

ณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ที่ดินของจังหวัดขอนแก่นกระจุกตัวที่คนกลุ่มน้อยส่งผลต่อการจัดทำผังเมือง อีกทั้งกฎหมายก็ไม่ได้กำกับควบคุมให้คนรวยและคนจนเข้าถึงที่ดินได้อย่างเท่าเทียมกัน ทำให้ที่ดินมีราคาสูง

“โครงการขอนแก่นสมาร์ทซิตี้เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาเมืองด้านระบบขนส่งมวลชน แต่ไม่ได้ทำให้คนจนเข้าถึงระบบขนส่ง แต่ทำให้คนจนถูกเบียดขับออกไปอยู่ชานเมือง เพราะที่ดินบริเวณทางรถไฟฟ้ามีราคา” ณัฐวุฒิกล่าวและว่า โครงการขอนแก่นสมาร์ทซิตี้ไม่ควรมุ่งเน้นเพียงแค่การขนส่งระบบราง แต่ควรมุ่งเน้นไปที่หลักประกันทางสังคมขั้นพื้นฐานของคนจนที่จะเข้าถึงการใช้บริการสาธารณะในเมืองขอนแก่น

"ทำงานใหญ่..ใจต้องเอียง" อ่าาา วิธีแบ่งเขต มานี




"ทำงานใหญ่..ใจต้องเอียง" วาทะของ สมชัย ศรีสุทธิยากร

...



ทนายเผย เปรมชัย ไม่มั่นใจชนะคดีเสือดำ





ที่มา เวป www.billionnews99.com


ไม่มั้นใจจะชนัคดี เสือดำ อัยการ จังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง…

•••นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)จำเลยที่ 1•••
•••นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2•••
•••นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3•••
•••และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 •••

ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา..
โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 ได้ตกเป็นจำเลยคดีอาญาหมายเลขดำที่ 219/2567 ใน 6 ข้อหา++

ซึ่งช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นการสืบพยานปาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ช่วงบ่าย..
สืบพยานปาก นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก++
และในเวลาเดียวกันนั้นนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ได้เดินทางกลับไปก่อนแต่จำเลยที่ 2-4 รวมทั้งทนายของจำเลยทั้งหมด..
ยังคงอยู่ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยได้ทยอยเดินออกมาจากศาล..
โดยนายสมเจตน์อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 ได้มาพร้อมกับนายวิเชียร ชิณวงษ์ โดยที่นายวิเชียร..
ได้ขอตัวกลับที่ทำการสำนักงานเขตฯ โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนส่วนนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค
ได้เปิดเผยว่า กรณีจำเลยที่ 1 ขออ่านคดีลับหลังก็สามารถทำได้ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ..
และช่วงนี้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องเดินทางมาที่ศาลจนกระทั่งสืบพยานฝ่ายโจทย์เสร็จและระหว่างนี้จำเลยที่ 1 จะเดินทางมาศาลก็ได้หรือไม่เดินทางมาก็ได้+++
เพราะเป็นการพิจารณาคดีลับหลังของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อถึงวันนัดสืบพยานฝ่ายจำเลย จำเลยที่ 1 จะต้องเดินทางมาทุกนัดสำหรับวันนี้เป็นการสืบพยานหัวหน้าวิเชียรแต่ยังไม่จบ..
ซึ่งจะต้องมาสืบพยานในวันพรุ่งนี้ต่อไป ส่วนกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเรียกค่าเสียหาย จากจำเลยเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาทนั้น…
เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของกรมอุทยาน ซึ่งในส่วนของอัยการเอง เราก็จะทำงานอย่างเต็มที่ด้านนายวิทูล แย้มพราย ทนายความส่วนตัวของนายเปรมชัย เปิดเผยว่า…
วันนี้สืบพยานโจทก์ไป 2 ปาก ปากแรกคือพล.ต.อ.ศรีวราห์ ปากที่สองคือนายวิเชียร ชิณวงษ์ซึ่งก็ยังสืบค้างอยู่ พรุ่งนี้จะต้องสืบปากนายวิเชียรต่อ…
กรณีนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ยื่นขอให้อ่านคดีลับหลัง ตรงนี้หมายความว่าอย่างไรนายวิทูรตอบว่า ก็ไม่มีอะไรเนื่องจากท่านติดภารกิจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจของบริษัทอิตาเลียนไทยฯ+++
เนื่องจากท่านเป็นประธานบริหารบริษัทประกอบกับท่านมีโรคประจำตัวหลายอย่างและต้องใช้เวลาช่วงนี้เกี่ยวกับการบริหารกิจการและท่านจะมาอีกครั้งหนึ่งในวันที่ศาลสืบพยานฝ่ายจำเลย+++
และต้องดูว่า…การสืบพยานโจทก์จะมีอะไรคาดเคลื่อนหรือไม่ เพราะว่าการสืบพยานโจทก์มันต้องใช้เวลามากพอสมควร…ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างอัยการซักถามพยานโจทก์…
คิดว่าอัยการยังมีเนื้อหาอีกมากถามว่ากรณีที่ทางกรมอุทยานเรียกร้องเงินค่าเสียหายกว่า 12 ล้านบาท!!
ตรงนี้ฝ่ายจำเลยจะชดใช้หรือไม่ นายวิทูร ตอบว่า เรื่องนี้เราได้แถลงต่อศาลไปว่าเราจะให้การปฏิเสธเพราะเราจะสู้คดี+++
ในส่วนเรื่องของค่าเสียหายซึ่งศาลกำหนดไว้ให้เรายื่นเรื่องน่าจะเป็นวันที่ 6 ธ.ค. นี้ผู้สื่อข่าวถามว่า เกี่ยวกับเรื่องคดีถึงตรงนี้แล้วยังปฏิเสธอยู่หรือไม่..
นายวิทูรตอบว่า ยังปฏิเสธเพราะเราคิดว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์
ถามต่อว่ามั่นใจหรือไม่ที่จะชนะคดี นายวิฑูรย์ตอบว่า ก็ไม่มั่นใจแต่ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ศาล และเราก็จะทำให้ดีที่สุดตามพยานหลักฐาน
•••ยังไงด็ต้องรอคำพิพากษาจากศาลเป็นเกณฑ์ชี้ ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหน•••

ooo

ทนาย "เปรมชัย" เผยไม่มั่นใจชนะคดี ขึ้นอยู่ที่ศาลจะตัดสิน พร้อมได้สิทธิไม่ต้องมาฟังการสืบพยานโจทก์




MGR Online VDO
Published on Nov 27, 2018

ทนาย "เปรมชัย" เผยไม่มั่นใจชนะคดี ขึ้นอยู่ที่ศาลจะตัดสิน พร้อมได้สิทธิไม่ต้องมาฟังการสืบพยานโจทก์ 27/11/2018