ทั่นรองฯ หัวหน้ารัฐบาลและ คสช.
มอบหมายทั่นรองฯ พิทักษ์สันติราษฎร์ ‘ฝ่ายความมั่นคง’
คุมคดี ‘หมีขอ’ นี่ ‘บิ๊กป้อม’ รับประกันซ่อมฟรี “จะไม่ซ้ำรอยคดีเสือดำ”
แต่เท่าที่เห็นก็เป็นแผ่นเสียงตกร่องเสียแล้ว
ถึงจะมีคนตั้งข้อสังเกตุว่า “ดีตรงที่
จะได้เปรียบเทียบกับคดีเสือดำของนายเปรมชัย ถ้าคดีหมีขอเดินหน้าไปไวกว่าทั้งที่เกิดหลัง
คดีเสือดำก็ส่อพิรุธแล้ว” (จากทวี้ต Wiroj @wirojlak)
ดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์
รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.จะได้แก้ตัวล้างคาวจากการที่ฟอกขาวให้กับนายใหญ่อิตาเลี่ยน-ไทย
เปรมชัย กรรณสูต คดีปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ยพาแก๊งออฟโร้ดลุยล่าของป่าไทรโยค
คงไม่ฟาวเหมือนคดีล่าเสือดำทุ่งใหญ่อีกแน่
ถึงแม้จะ “เลือกใช้พนักงานสอบสวนชุดเดิม”
กับคดีเปรมชัย “เนื่องจากเป็นคณะพนักงานสอบสวนที่มีประสบการณ์การทำคดีลักษณะนี้
จะสามารถทำคดีได้อย่างรวดเร็ว รู้ขั้นตอนเข้าใจข้อกฎหมายอยู่แล้ว” ก็ตาม
คราวนี้ทั้งที่นายวัชรชัย
สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย กับพวก ๑๑ คนจะถูกจับได้คาของกลาง ขาหมีขอ ๔
ชิ้น จะปฏิเสธทุกข้อหาทั้ง ๗ ข้อหา อ้างว่าลูกน้องซื้อมาจากชาวบ้าน แต่ต่อมาได้พบหลักฐานเพิ่มเติมเป็นซากกรามและขนสัตว์
ที่รอการใช้นิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ
ทั่นรองฯ ตำรวจฝ่ายความมั่นคง
ผู้ที่ยังต้องล้างกลิ่นปากจากการไปสั่งการผิดกาละเทสะที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนอีกกรณี
แจงเป็นจะโกลนเรื่องโทษของการล่าสัตว์ป่าสงวนอย่างหมีขอ คุก ๕ ปี ปรับ ๕ หมื่น
แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าฆ่าสัตว์ ก็อาจโดนข้อหาครอบครอง คุก ๔ ปี ปรับ ๔ หมื่น
ทั่นรองฯ ยังปากกล้าเหมือนเดิม “ตลก หากมาถามผมว่าหวั่นไหวกับเรื่องนี้ไหม...สำหรับผมมองว่าการทำสำนวนคดีเสือดำเป็นตัวอย่างการทำสำนวนคดีประเภทนี้ได้เลย”
(https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1660160, https://www.khaosod.co.th/politics/news_1664358 และ http://news.ch3thailand.com/local/79411)
จากคำของทั่นรองฯ
มาถึงถ้อยของอีกทั่นรองฯ เกี่ยวกับคดีล่าสัตว์ป่าสงวน
ที่ต้องให้ฝ่ายความมั่นคงมาดูแลนี้ ได้ข้อเท็จจริงที่แฝงอยู่ในละอองน้ำลายฟุ้งอย่างหนึ่งว่า
การอ้าง ‘ยึดกฎหมาย’ ‘ทำตามกฎหมาย’ ‘ไม่มีผลประโยชน์อะไร’ นั้นเป็นเพียงลูบหน้าปะจมูก
เช่นเดียวกับกรณีอดีตพนักงาน
ธกส. ไปร้องเรียนที่ศูนย์บริการประชาชน
ทำเนียบรัฐบาล เรื่องถูกเลิกจ้างเพราะพบตัวเลขวงเงินรวมโครงการจำนำข้าวผิดปกติ
พอรายงานผู้บังคับบัญชาแล้วกลับถูกเก็บเงียบ พอทวงถามกลับถูกหาว่าวิกลจริต ส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชตรวจไม่พบว่าผิดปกติ
พอเธอโวยวายทางโซเชียลมีเดีย เลยโดนสั่งเลิกจ้าง
ข้อเท็จจริงปรากฏจากที่ น.ส.ชญาดา
ตระกูลรุ่งโรจน์ ค้นพบก็คือ “การแจ้งหนี้ของ ธ.ก.ส.ผิดปกติหลายพื้นที่
โดยมีการโอนเงิน ๒ ครั้งให้กับเกษตรกรรายเดียว และยังนำการจ่ายเงินในโครงการมันสำปะหลังมานับรวมด้วย”
สิ่งผิดปกติเหล่านั้นถูกนำมาใช้กล่าวหาความผิดของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง
จนท้ายที่สุดเธอต้องหนีคดี อันเป็นข้อประณามว่าขัดขืนอำนาจตุลาการ
โดยมิพักตระหนักว่ากระบวนตุลาการพิพากษาความผิดจากหลักฐานที่เป็นเท็จ
พนักงานสาวผู้นี้ใช้เวลาสามปีต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในองค์กร
เพื่อขอคืนสิทธิ และ “เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
อย่าชี้นำให้เป็นประเด็นทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
การร้องเรียนของอดีตพนักงาน
ธกส. นี้เป็นข่าวหลายครั้งในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการกุมอำนาจ
‘ครองเมือง’ ของ คสช. อีกอย่างที่ใช้วิธีกลั่นแกล้งเพื่อปิดปาก โดยยังไม่มีการแถลงตอบโต้