“จะไปรู้ได้อย่างไร”
คำตอบนี้สุดคล้าสสิคหาใดเทียบ เมื่อเฮียตือดิ้นสุดฤทธิ์แก้ตัวในสถานการณ์ไล่เบี้ย
คสช. ไม่ว่าเรื่องน้ำมันแพง หรือเรื่องโพลลิ่วล้อเกิดโอละพ่อ (ง)
แหม นักข่าวก็ช่างเซ้าซี้ ถามได้ถามดี
ที่มีข่าวไม่ยืนยัน (นัยว่า faked news) “บิ๊กตู่ฟิวขาด
ด่ากราดประชาชน ไล่ให้ไปเติมน้ำเปล่าแทนดีเซล” เมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
บอกว่าติดตามตัวคนที่บิดเบือนอยู่ ดันถามย้ำอีก “บุคคลที่ตามอยู่ในไทยหรือต่างประเทศ”
ฮ่า ฮ่า
น้ำมันขึ้นราคา
ตอนนี้ดีเซลเกินราคาที่ประวิตรอ้างว่าควบคุมอยู่ ๓๐ บาทต่อลิตรนะ
นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสานเขาออกมาร้องโอดโอยว่าน้ำมันขึ้นราคากันไม่มีปี่มีขลุ่ย
จึงต้อง “ขอปรับราคาขึ้นค่าขนส่งสินค้า ๕ เปอร์เซ็นต์”
แทนที่จะหาทางออกอย่างสุขุมคัมภีรภาพ
เฮียตือกลับสะบัดใส่ เวลาที่น้ำมันลงไม่เห็นพูดกันมั่ง “ราคาก็ขึ้นทั้งโลก
เวลาน้ำมันไม่ขึ้น ๔ ปี ไม่เห็นว่าอะไร มีกำไรทำไมไม่ร้องเลย ก็ต้องเสียสละบ้าง”
ทั่นรองฯ ตอกหน้าประชาชี กะไม่ให้เย็บ
ที่ไหนได้ คสช. เองนั่นละจะต้องเย็บ
จากแถลงของนายพีระพล บุญชิณ เรื่องน้ำมันดีเซลราคาทะลุ ๓๐ บาทต่อลิตร “ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมาก
เพราะต้นทุนสูง
น้ำมันขึ้นราคาทุกอย่างต้องปรับขึ้นราคาตามเป็นลูกโซ่ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องเดือดร้อนไปหมดทุกหย่อมหญ้า”
อ้างว่าปรึกษากันแล้วในหมู่สมาชิกสหพันธ์ขนส่งฯ
รถบรรทุกกว่า ๑ แสนคัน เห้นพ้องกันว่าขอปรับขึ้นราคาแค่ ๕ เปอร์เซ้นต์ ทั้งที่ “ข้อเท็จจริงปัจจุบันต้องปรับไปถึง
๑๐ เปอร์เซ็นต์”
สหพันธ์อ้างด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องให้กับ
รมว.คมนาคมไปแล้ว และอีก ๑๕ วันนับจากนี้ จะมีการยื่นใหม่เข้าไปอีกเป็นรอบที่สอง “ถ้าไม่เห็นผลอย่างไร
ประมาณหลังวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๑” เอาแน่
“มาตรการกดดันจะดีเดย์พร้อมกันทั่วประเทศ...และเมื่อหยุดวิ่งรถแล้วผลกระทบข้าวของสินค้าต้องขาดตลาดอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอาหารสด อาหารแช่แข็ง นม เครื่องดื่ม เครื่องอุปโภค บริโภค สินค้าเกษตร
สินค่าส่งออก ข้าว พืชผลทางการเกษตร และผลไม้สด เป็นต้น”
มิใยผลโพลของเพจลิ่วล้อ คสช. เอง
ออกมาเหยียด ๙๐ เปอร์เซ็นต์ (ของผู้ที่เข้าไปตอบ ๕ แสนราย) ไม่เอาแล้ว พอกันที ที่จะให้ประยุทธ์
จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก แม้นว่า ‘ห่านอู’
โฆษกทำเนียบฯ ปากแข็ง “นายกฯรับทราบแล้ว
และไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้อมูลดังกล่าว”
อ้าง “ที่ผ่านมามีผลโพลออกมาจากหลายสำนัก
หลายประเภท ซึ่งมีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
โดยยืนยันว่าจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ที่ดีสุดจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง
จากนั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง”
ถ้าอย่างนั้นไฉนไม่ปูทางวางถนนไปสู่การเลือกตั้งเสียเลยตั้งแต่วันนี้ล่ะ
นี่ปลายพฤษภาจะครึ่งปีเข้าไปแล้ว พรรคการเมืองยังทำอะไรกันไม่ค่อยจะได้ รออะไรนักหนา
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนเห็นว่าจะรอ ‘ดูด’ ให้เสร็จ กลับปรากฏว่าดูดไม่ค่อยจะขึ้น
บางอาจมทำท่าจะแข็งตัวกลายเป็นดินปุ๋ยไปแล้ว (ดูจากที่อนุทิน ชาญวีรกุล
เคยโพสต์เฟชบุ๊คปฏิเสธเป็นนั่งร้านพรรคทหาร)
ฉะนั้น สิ่งที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งทำเพื่อให้มั่นใจว่า
คสช.จะไม่เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก จึงได้ใจของผู้คนจำนวนข้างมาก
ว่าพวกเขากล้าหาญออกมายืนยันสิทธิพลเมืองและเสรีภาพประชาชนทุกคน กระทั่งสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ
ยังต้องออกแถลงการณ์ย้ำสองครั้งสองคราให้ทางการไทยปล่อยตัวคนอยากเลือกตั้งที่ถูกตำรวจควบคุมตัวโดยพลัน
แน่ละท้ายที่สุด ๑๔ ผู้ถูกตำรวจลูกไล่ คสช.
กลั่นแกล้งถ่วงเวลาทำสำนวนยื่นฟ้องคดีเพื่อคุมขังไว้สามวัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากนักวิชาการมากหลายของนานามหาวิทยาลัยไปแสดงตัวยื่นประกัน
คดีความของพวกเขาก็ยังผิดผีผิดไข้ไปจากกระบวนยุติธรรมตามหลักสากล
ความเห็นจาก ดร.สุรพศ ทวีศักดิ์
นักวิชาการด้านศาสนา ตอบโต้ถ้อยความของนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามหลักสากลแล้วนั้น
ว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมและจับกุมแกนนำคนอยากเลือกตั้ง
โดยอ้างคำสั่ง คสช. ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักสากลได้อย่างไร
“ใช่ครับการใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ในขอบเขตกฎหมาย
แต่ต้องเป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐหรือ rule of law
คือเป็นกฎหมายที่บัญญัติผ่านกระบวนการรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย
มีเนื้อหาไม่ละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
และกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นอิสระและเป็นกลางใช่หรือไม่”
คำถามทำนองนี้มีผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส
ถามต่อนายตำรวจคนหนึ่งระหว่างทำการควบคุมตัวส่วนหนึ่งของแกนนำคนอยากเลือกตั้งไปยังโรงพักชนะสงคราม
ว่าผู้ถูกควบคุมตัวละเมิดกฎหมายอะไร
นายตำรวจตอบว่า “ละเมิดคำสั่ง
คสช.ฉบับที่ ๓/๒๕๕๘ ไง ผิดเต็มๆ” หทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวถามย้อนอีกว่า “แล้วกฎหมายฉบับนี้ใหญ่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเหรอคะ...ความเงียบคือคำตอบ”
มิหนำซ้ำตำรวจนายนั้นหันไปจ้องหน้าเธอ “รับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์”