วันศุกร์, เมษายน 13, 2561

ทำไมหนูไม่รักลุงตู่...





ฟัง “หนูดี” วิรัลพัชร รอดแก้ว นิสิตจุฬาฯชูป้าย ทำไมถึง (ไม่) รักลุงตู่ ?


12 เมษายน 2561
ที่มา มติชนออนไลน์
ผู้เขียน สมถวิล


จากกรณีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่นิสิตจากจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย ชูป้าย “ชาวจุฬารักลุงตู่(เผด็จการ)”ปะหน้ากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่บริเวณสยามสแควร์วัน หลังไปปาฐกถาพิเศษที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

และทันทีที่พล.อ.ประยุทธ์เห็นเหตุการณ์ ได้หันไปพูดกับกลุ่มนิสิต และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่า “ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าทำร้ายเขาเลย หากเขาไม่เข้าใจก็ปล่อยไป” พร้อมกล่าวย้ำว่า “ไปเถอะนะ คนเก่ง เยี่ยม เก่งมาก หากประเทศเสียหายก็ออกมาด้วยนะ” ก่อนเดินขึ้นรถกลับทำเนียบรัฐบาลทันที

เหมือนเหตุการณ์จะจบอยู่ที่ตรงนั้นตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ระบุให้ “ปล่อยเขาไป อย่าไปทำร้ายเขา” แต่กลับไม่ใช่

เพราะ วันรุ่งขึ้นมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รุกไปถึงบ้านนิสิตเหล่านั้น จนกระทั่งต้องเข้าพบ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNOHCHR เพื่อยื่นจดหมายและเรียกร้องความเป็นธรรม จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ตามสอดส่อง มีความพยายามสอบถามข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่ของนิสิตกลุ่มนี้ ทั้งจากเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย รวมไปถึงพยายามไปพบกับผู้ปกครองของนิสิตถึงบ้านพักส่วนตัวด้วย


อ่าน : ตามคาด! จนท.บุกถึงบ้าน-คณะ สอบถามประวัติกลุ่มนิสิตจุฬาฯชูป้ายใส่บิ๊กตู่
อ่าน : เครือข่าย น.ศ.ยื่นฟ้องยูเอ็น จนท.รัฐละเมิด-คุกคาม สวน’บิ๊กตู่’ประเทศเสียหายนานแล้ว


มติชนออนไลน์ คุยกับ “หนูดี” วิรัลพัชร รอดแก้ว นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1 ใน 3 นิสิตที่ออกมายืนชูป้ายปะหน้า “นายกฯลุงตู่” ในวันนั้น

ถามตรงๆวันนั้นเตรียมตัวกันมาก่อนไหม หรือว่า เป็นเหตุบังเอิญ ?

ก็ไม่ได้วางแผน เพียงแต่นัดแนะกันคืนเดียวก่อนที่ท่านนายกฯจะมาจุฬาฯ โดยเริ่มแรกก็ตั้งใจถือป้ายแล้วใช้สก็อตเทปปิดปากในหอประชุม แต่ปรากฏว่า ก่อนเริ่มงานพวกเราถูกเจ้าหน้าที่คอยประกบ บล็อกตลอดเวลา ไม่ให้พวกเราทำกิจกรรมกันได้ง่ายๆ ทั้งๆที่พื้นที่มหาวิทยาลัยควรจะเป็นพื้นที่ที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของพวกเรานิสิตด้วยซ้ำไป จึงทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปดักรอที่สยามสแควร์วันแทน โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนที่ท่านนายกฯจะปรากฏตัวปรับแผนไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งใกล้ถึงเวลาเจ้าหน้าที่ยิ่งเยอะ และคอยตามประกบพวกเราตลอด แม้จะแยกออกเป็น 2 กลุ่มแล้ว

อย่าง น้องบอล – ธนวัตน์ วงศ์ไชย ที่แยกออกไปอีกกลุ่มก็ถูกเจ้าหน้าที่ตาม 3-4 คนแล้วบล็อกไม่ให้ออกมาร่วมกิจกรรมจนกว่าท่านนายกฯจะกลับ พวกเราที่เหลืออยู่ 3 คน จึงพยายามหลบเจ้าหน้าที่ที่ค่อยเดินตาม จนกระทั่งถึงเวลาที่นายกฯออกมาจากสยามสแควร์วัน จึงวิ่งออกไปด้านหลังพี่ๆนักข่าวที่กำลังสัมภาษณ์ท่านนายกฯอยู่แล้วก็กางป้ายที่เตรียมมา ซึ่งคนที่กระชากป้ายพวกเราก็คือเจ้าหน้าที่คนที่ตามเรามาตั้งแต่เช้า แต่ตอนนั้นมีพี่ๆนักข่าวอยู่เยอะ เขาเลยทำได้แค่นั้น จึงได้ชูป้ายกันจนได้ แม้มันจะฉีกขาดแล้วก็ตาม


แฟ้มภาพ


เห็นท่าทีของนายกฯวันนั้นไหม แล้วได้ยินที่ได้ตอบกลับพวกเราหรือเปล่า ?

แกก็ไม่มีท่าทีว่าจะสั่งลูกน้องมาจัดการอะไรกับพวกเรา ก็คงเป็นอย่างที่ท่านว่า ให้ปล่อยๆไป แต่ที่พวกเราติดใจตรงที่ท่านบอกว่า ถ้าประเทศเสียหายก็ออกมาด้วยแล้วกัน ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นเราอยากตอบกลับไปเหมือนกันว่า ก็นี่ไงค่ะ พวกหนูออกมาแล้ว และกำลังทำอยู่ตอนนี้ไง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะหวั่นๆอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)

วันนั้นแกบอกว่าให้ปล่อยๆไป แต่พอเที่ยงอีกวัน แม่โทรมาบอกว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 คนมาที่บ้าน มีการแสดงบัตรเจ้าหน้าที่ชัดเจน แต่ไม่ได้บอกหน่วย เพราะอ้างว่าเป็นราชการลับ โดยถามกับแม่ว่า เราเคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง ทำกลับกลุ่มไหน มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหรือหรือเปล่า มีคนอยู่เบื้องหลัง มีคนจ้าง มีคนสั่งหรือเปล่า ก่อนกลับก็ยังฝากเตือนกับแม่ด้วยว่า ให้ช่วยบอกว่า ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปร่วมชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองที่ไหน

แปลกใจไหม เพราะเหมือนเหตุการณ์วันนั้นจะผ่านไปแล้ว ไม่มีถามประวัติอะไรหลังจากนั้น แต่พอวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่รู้ที่อยู่ จนไปหาแม่ถึงที่บ้านได้ ?

ถามว่า แปลกใจไหม ก็ไม่แปลกใจนะ เผด็จการก็แบบนี้ ไม่เคยมีสัจจะ บอกว่า จะไม่ทำรัฐประหาร แต่สุดท้ายก็ทำ บอกว่า จะให้เลือกตั้งตั้งแต่ปีแรกที่ทำการยึดอำนาจ แต่จนป่านนี้ยังไม่ได้เลือกตั้งเลย เลื่อนมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระเห็นชาติ แต่กลับได้เห็นภาพเหตุการณ์ ทั้งการเรียกปรับทัศนคติ การคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนในหลายๆเรื่อง ทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับคำพูดของตัวเองที่พูดผ่านสื่ออยู่ตลอดเวลา จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในสังคม ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ

โฆษกรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด บอกว่าไม่ได้คุกคาม เพราะยังไม่ได้เอารถถังออกมา ?

ถ้าถึงขนาดที่ พล.ท.สรรเสริญ พูดก็ใช่ มันไม่ใช่การคุกคาม แต่มันคือ การทำสงครามแล้ว เราเข้าใจว่า ท่านโฆษกฯเป็นทหาร ไม่ได้เรียนสังคมศาสตร์ หรือ รัฐศาสตร์มา จึงเข้าใจอะไรผิดหลักการไปเยอะ โดยเฉพาะการแยกแยะว่า อะไรคือการละเมิดไม่ละเมิด แล้วอะไรคือการคุมคามหรือไม่คุกคาม ซึ่งสิ่งที่พวกหนูทำมันไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แม้แต่คำสั่งคสช.ก็ยังไม่ผิดด้วยซ้ำ เพราะที่ไปชูป้ายกันวันนั้นก็ไม่ถึง 5 คน ข้อความยุยงปลุกปั่นก็ไม่มี แม้แต่ด่าท่านนายกฯก็ยังไม่มี ไม่รู้เหมือนกันว่า พวกเราทำอะไรผิด

เราไม่เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจอะไรบุกไปหาแม่เราถึงบ้านแบบนี้ มาสั่งไม่ให้ห้ามแสดงออก ทั้งๆที่มันก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญฉบับที่พวกเขาร่างขึ้นมาก็กำหนดไว้เองด้วย และต่อให้มีการชุมนุมเกิน 5 คน แต่ถ้าทำถูกต้องตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ สิทธิการชุมนุมนั้นก็ควรทำได้ มันเป็นอำนาจของประชาชนที่เรียกว่า สิทธิและเสรีภาพ ที่เรามีอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย

รู้สึกอย่างไร กับการปฏิบัติการทางข่าวสารแบบนี้ของรัฐบาลคสช.ที่มีอยู่เรื่อยๆ ?

ประชาชนไม่โง่นะ ประชาชนก็เข้าใจและรู้ว่า อะไรที่เรียกว่า คุกคาม อะไรที่เรียกว่า การละเมิด ต่อให้ พล.ท.สรรเสริญ ผลิตวาทกรรมอะไรที่ฟังดูตรรกะประหลาดๆ ไม่มีหลักการหรือเหตุผลอะไร ประชาชนก็สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง เราไม่เชื่อว่า การพูดแบบนี้ออกสื่อในฐานะโฆษกรัฐบาล แล้วคนจะเชื่อ แล้วการออกมาใช้วิธีแบบนี้ ซึ่งพวกเราไม่กังวลที่จะแสดงออกในครั้งต่อๆด้วย เพราะมั่นใจว่า ทำอย่างถูกต้องแล้ว เป็นสิทธิเสรีภาพของพวกเรา





ทำไมถึงคิดว่า วันนี้รัฐบาลคสช.เป็นปัญหาทำประเทศเสียหาย จนต้องออกมากันแล้ว ?


ถ้าเป็นรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้งก็คงได้เลือกตั้งใหม่ไปแล้ว เพราะการอยู่ครบเทอม 4 ปีเป็นเรื่องยากมากสำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาประเทศเราหยุดชะงักกันมามากพอแล้ว และที่สำคัญไม่เห็นผลอะไรเลย ทั้งเรื่องการปฏิรูป หรือแม้กระทั่งเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่คสช.ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจก็ไม่เห็นผล และที่มองว่าเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดก็คือ การจัดสรรทรัพยากรของรัฐบาลนี้ กฎหมายต่างๆที่ผ่านโดยสนช. หลายฉบับผ่านไปแบบเงียบๆ โดยที่คนไม่รู้ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้จะสร้างผลเสียในระยะยาวทำให้เกิดการผูกขาด อย่างล่าสุดก็อนุญาติให้ต่างชาติเช่าที่ดินในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอีอีซีเป็นได้ 99 ปี แบบนี้ถ้ารัฐบาลปกติทำเขาเรียกว่า ขายชาติหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเราถึงต้องแสดงออกว่า คนที่ไม่รักลุงตู่ยังมีในจุฬาฯ ไม่ใช้ชาวจุฬาฯจะรักลุงตู่ทุกคน

ผู้บริหารจุฬาฯมีฟีดแบคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างไหม ?

ยังไม่มี และคิดว่า จะไม่น่าจะมีอะไรด้วย เพราะต้องยอมรับว่า พวกเราคิดต่างตั้งแต่ยังไม่ได้ฟังปาฐกถาเลยด้วยซ้ำ เพราะจุฬาฯไม่ควรมีท่าทีกับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารแบบนี้ มหาวิทยาลัยควรจะเป็นพื้นที่ที่ปลูกฝังเรื่องสิทธิเสรีภาพ และที่สำคัญจุฬาฯพูดมาตลอดว่า จุฬาฯจะเป็นเสาหลักของแผ่นดิน เกียรติภูมิจุฬาฯคือเกียรติภูมิของการรับใช้ประชาชน แต่สิ่งที่เราเห็นวันนี้มันชัดเจนมากว่า รัฐบาลนี้มีการกระทำที่ขัดแย้งต่อปณิธานของจุฬาฯ เขายึดอำนาจของประชาชนไป แล้วยังเอาอำนาจของประชาชนกลับมาละเมิดประชาชนด้วย การเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาพูด ไม่ใช่เกียรติภูมิของจุฬาฯในการรับใช้ประชาชน แต่ผู้บริหารกลับมีท่าทีต้อนรับยินดีกับการมาของผู้นำรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารแบบนี้ พวกเราจึงต้องแสดงออกเพื่อไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บริหารจุฬาฯกำลังทำ

คำว่า “ชาวจุฬาฯรักเผด็จการ” บนป้ายที่ชูวันนั้นกำลังจะบอกอะไร ?

คำที่ปรากฏในป้ายเป็นคำที่อธิบายถึงพฤติกรรมหรือท่าทีของจุฬาฯต่อคณะรัฐประหารได้ดี คำว่า ชาวจุฬาฯรักลุงตู่ รักเผด็จการ เป็นความต้องการที่จะสื่อว่า การกระทำของจุฬาฯมันชัดเจนต่อให้จะมีปณิธานว่า เกียรติภูมิจุฬา คือเกียรติภูมิของการรับใช้ประชาชนยังไงก็จะรักลุงตู่ แม้ลุงตู่จะทำหลายสิ่งขัดแย้งกับปณิธานของตัวเองก็ตาม แต่เราก็ยังเชิญเขามา ต้อนรับเขาด้วยความยินดี ต่อให้เขาละเมิดเกียรติภูมิของเรา ชาวจุฬาฯก็ยังรัก ยิ่งพอไปฟังเนื้อหาในหอประชุมก็ยิ่งชัดเจน เพราะท่านนายกฯพูดเหมือนที่รายการเดินหน้าประเทศไทยพูด ซึ่งไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้เลย แต่ชาวจุฬาฯก็ยังชื่นชมยินดีว่า นี่เป็นปาฐกถาที่ดี เยี่ยม เลิศมาก ทำอะไรก็รักลุงตู่ การไปชูป้ายของพวกเราก็เพราะแสดงให้รัฐบาลนี้ รวมไปถึงประชาชนเห็นว่า ไม่ใช้ชาวจุฬาฯทุกคนที่ยอมรับกับอำนาจเผด็จการ อำนาจจากปลายกระบอกปืนแบบนี้

ถามจริงๆสนใจการเมืองแบบนี้ เรียนอยู่ปี 3 คณะรัฐศาสตร์ด้วย เคยไปเข้าหูหาเลือกตั้งบ้างหรือยัง ?

พูดเรื่องนี้มันก็จะเศร้าๆหน่อย เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่ยอมรับการรัฐประหาร เพราะเมื่อปี 2557 เป็นปีที่อายุจะครบ 18 ปีพอดี หลังจากการเลือกตั้ง 2 กุมภาฯเป็นโมฆะ เราตั้งหน้าตั้งตารอการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะเราจะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะเข้าคูหาเลือกตั้งได้แล้ว แต่กองทัพ โดยคณะรัฐประหารชุดนี้กลับชิงยึดอำนาจเสียก่อน จนถึงทุกวันนี้ที่อายุจะกำลังจะย่างเข้า 22 ปียังไม่เคยได้เลือกตั้งเลยซักครั้งเดียว เคยแต่ใช้สิทธิลงประชามติรัฐธรรมนูญครั้งเดียวเท่านั้น

หวังได้ไหมว่า เดือนกุมภาฯ 2562 จะได้ไปเข้าคูหาเลือกตั้งครั้งแรก ?

มันหาความมั่นใจกับรัฐบาลทหารได้ลำบาก ที่บอกล่าสุดว่า จะเป็นกุมภาพันธ์ปีหน้า ก็ยังไม่รู้ว่า จะได้เลือกหรือเปล่า ซึ่งก็มีแนวโน้มสูงที่จะเลื่อนไปอีก ถามว่า วันนี้หวังไหม ก็หมดหวังนะ แต่ไม่ใช่เพราะไม่ได้เลือกตั้งซักทีนะ แต่เป็นความหมดหวังที่จะต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากกว่า เพราะเท่าที่ติดตามก็มีหลายเรื่องอาจจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อลำบาก แม้ว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่แน่นอนว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู้สิ่งใหม่ได้ แต่ด้วยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ให้แก้ยากก็อาจจะติดขัดจนอาจจะต้องมีการยึดอำนาจกันอีกก็เป็นได้

เท่าที่ฟังจากเพื่อนๆ ทุกคนดูไม่มีหวังกับการเมืองเลย มันริบหรี่มาก ทุกคนจึงไม่ค่อยสนใจการเมืองและมุ่งที่ไปที่เรื่องอนาคตของตัวเอง เพราะรู้สึกว่า ทำอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้มีเลือกตั้งภายใต้รัฐธรมนูญก็คงไม่มีประชาธิปไตย จะมีแต่ได้นายกฯคนนอก มียุทธศาสตร์ มรดกคสช.อยู่เพียบ ยิ่งมีการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐมากๆมันยิ่งสร้างความหวาดกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลมากต่อการแสดงออกของนิสิตนักศึกษา

หวังอะไรกับคนรุ่นใหม่ที่เสนอตัวเองเข้าสู่สนามการเมืองบ้าง ?

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมันคงไม่ได้เกิดขึ้นตามรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอะไรมากนัก แต่การที่มีคนรุ่นใหม่ออกมาก็ถือว่าดี เพราะที่ผ่านมาโมเดลพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศไม่เกิดขึ้นในไทยเท่าไหร่

ถือเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างแปลกใหม่และดีทีเดียวสำหรับการเมืองไทย