วันศุกร์, มกราคม 12, 2561

10 ปียังสร้างไม่เสร็จ 1.4 พันล้าน ของบเพื่มอีก 286 ล้าน สร้างอคาวเรียม ศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ (555 มหากาพย์!! ยังไม่ถึง 7 ชั่วโคตร)






เมื่อวันที่ 10 มกราคม ผู้สื่อข่าว จ.สงขลา รายงานว่า ชาวสงขลากำลังจับตาและวิพากษ์วิจารณ์ถึงโครงการสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรืออควาเรียม ของวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.สงขลา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2551 มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2553 ในวงเงินประมาณ 800 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ปี 2561 หรือเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว การดำเนินการโครงการกลับยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังมีรายงานใช้งบประมาณไปแล้วไม่น้อยกว่า 1,400 ล้านบาท เริ่มสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2551 โครงการก่อสร้างแบ่งเป็น 5 ระยะ กลับถูกทิ้งร้างมานาน กลายเป็นซากก่อสร้างที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดสงขลาอย่างมาก ทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการให้เป็น แลนด์มาร์กŽ และเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของ จ.สงขลา

นายกาจบัณฑิต รามมาก ประธานเครือข่ายผู้ปกครองวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ กล่าวว่า ทางเครือข่ายก็มองโครงการนี้มานาน และมีข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถือเป็นภาพลักษณ์ของ จ.สงขลา และมองว่าเป็นผลเสียต่อรัฐบาลเอง เพราะจนถึงขณะนี้คนในพื้นที่ยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดการก่อสร้างจึงไม่เสร็จ ติดปัญหาตรงไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกัน เตรียมที่จะยื่นหนังสือเรียกร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้เร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ส่วนในประเด็นการใช้งบประมาณที่บานปลายออกไป หรือ มีปัญหาด้านใดนั้น ควรที่จะมีการชี้แจงให้สังคมรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อความโปร่งใส

สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ณ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.สงขลา มีพื้นที่โครงการกว่า 7,800 ตารางเมตร โครงการแบ่งการดำเนินการเป็น 5 ระยะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอดำเนินการ ในระยะที่ 4 และระยะที่ 5 โครงการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา เป็นการนำผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ทะเลสาบสงขลา มาปรับปรุงให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และเพิ่มเติมในส่วนของงานศึกษาค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับชีววิทยาทางทะเล เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของวิทยาลัยประมงติณ สูลานนท์ ให้เป็นสถานที่ทำการศึกษาค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับชีววิทยาของสัตว์น้ำ พันธุ์ไม้น้ำ และการเพาะขยายพันธุ์ ของคณาจารย์และนักศึกษา รวมทั้งสนับสนุน ร่วมมือ อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการ วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและพันธุ์ไม้น้ำ เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชีวิตสัตว์น้ำ และความเป็นอยู่ ชีววิทยา และระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลา ตลอดจนจะเป็นแหล่งทัศนศึกษาของชาวไทยและต่างประเทศที่เดินทางมายังจังหวัดสงขลา

ล่าสุด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในปี 2561 นี้ จะสะสางเรื่องทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มีการบริหารจัดการกันในอดีต โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ของวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์

นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 นพ.ธีระเกียรติได้ลงพื้นที่ในการประชุม ครม.สัญจร ตรวจเยี่ยมเพื่อแก้ปัญหาโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา พบว่าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เสนอของบประมาณ ประจำปี 2561 จำนวนกว่า 286 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมทั้งหารือเพื่อหาผู้เข้ามารับหน้าที่ใน การบริหารจัดการอควาเรียมดังกล่าว เนื่องจากทราบว่าในการประชุม ครม.สัญจรในครั้งนี้จะมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุม ทั้งนี้ มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ยังได้เสนอของบประมาณ ประจำปี 2561 จำนวนกว่า 286 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมทั้งหารือเพื่อหาผู้เข้ามารับหน้าที่ในการบริหารจัดการอควาเรียมดังกล่าว แต่ รมว.ศึกษาธิการได้สั่งระงับ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551 นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ขณะนั้น ได้ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการ เดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ หมู่ 2 ต.พะวง อ.เมือง จ.สงขลา เบื้องต้นใช้งบประมาณก้อนแรกรวมทั้งสิ้น 800 ล้านบาท เป็นงบประมาณผูกพันต่อเนื่อง และยังกล่าวว่า สถานที่แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่นี่จะใหญ่กว่าดีกว่าและสวยกว่าที่ จ.สุพรรณบุรี เป็นรูปหอยสังข์ ได้เริ่มโครงการก่อสร้างแล้ว จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้

ต่อมาพบว่าโครงการก่อสร้างเกิดความล่าช้าอย่างมาก โดย นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 8 พฤษภาคม 2552 ได้ลงข่าว น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในเวลานั้น ให้สัมภาษณ์ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงปัญหาการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ที่มีนายสุรเทพ ตั๊นประเสริฐ ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็นประธาน ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว โดยสรุปสาเหตุที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้ามาจาก 2 ประเด็น คือ 1.บริษัทผู้รับเหมาไม่ดำเนินการก่อสร้างตามที่มีการเซ็นสัญญา และจ่ายเงินมัดจำไปแล้ว จำนวน 125 ล้านบาท

จากการตรวจสอบปรากฏว่าดำเนินการเพียงนำดินมาถมพื้นที่ แต่ยังไม่มีการก่อสร้างใดๆ โดยอ้างว่าแบบก่อสร้างไม่ชัดเจน แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้รับการยืนยันว่า แบบการก่อสร้างนั้นดำเนินการอย่างถูกต้อง อีกทั้งหากไม่ชัดเจน แล้วเหตุใดจึงมีการเซ็นสัญญาและจ่ายเงินมัดจำตั้งแต่แรก ดังนั้น ขั้นตอนจากนี้ไปจะต้องเร่งรัดให้บริษัทผู้รับเหมาดำเนินการก่อสร้างตามแบบก่อสร้างที่ได้เซ็นสัญญาไว้ พร้อมทั้งเรียกปรับเงินตามระยะเวลาที่ล่าช้า ซึ่งมีระบุไว้แล้วในสัญญา และหากบริษัทผู้รับเหมาไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องยกเลิกสัญญา นอกจากนั้นในรายงานข่าวดังกล่าวยังระบุว่า มีการหยุดการก่อสร้างตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2551 ถือเป็นการบริหารงบประมาณที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จ่ายเงินมัดจำไปแล้วถึง 125 ล้านบาท แต่กลับไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันตามสัญญาในปี 2553

ต่อมาพบว่าโครงการก่อสร้างเกิดความล่าช้าอย่างมาก โดย นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 8 พฤษภาคม 2552 ได้ลงข่าว น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในเวลานั้น ให้สัมภาษณ์ว่า คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงปัญหาการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ที่มีนายสุรเทพ ตั๊นประเสริฐ ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็นประธาน ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว โดยสรุปสาเหตุที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้ามาจาก 2 ประเด็น คือ 1.บริษัทผู้รับเหมาไม่ดำเนินการก่อสร้างตามที่มีการเซ็นสัญญา และจ่ายเงินมัดจำไปแล้ว จำนวน 125 ล้านบาท

จากการตรวจสอบปรากฏว่าดำเนินการเพียงนำดินมาถมพื้นที่ แต่ยังไม่มีการก่อสร้างใดๆ โดยอ้างว่าแบบก่อสร้างไม่ชัดเจน แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นได้รับการยืนยันว่า แบบการก่อสร้างนั้นดำเนินการอย่างถูกต้อง อีกทั้งหากไม่ชัดเจน แล้วเหตุใดจึงมีการเซ็นสัญญาและจ่ายเงินมัดจำตั้งแต่แรก ดังนั้น ขั้นตอนจากนี้ไปจะต้องเร่งรัดให้บริษัทผู้รับเหมาดำเนินการก่อสร้างตามแบบก่อสร้างที่ได้เซ็นสัญญาไว้ พร้อมทั้งเรียกปรับเงินตามระยะเวลาที่ล่าช้า ซึ่งมีระบุไว้แล้วในสัญญา และหากบริษัทผู้รับเหมาไม่สามารถดำเนินการได้ก็ต้องยกเลิกสัญญา นอกจากนั้นในรายงานข่าวดังกล่าวยังระบุว่า มีการหยุดการก่อสร้างตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2551 ถือเป็นการบริหารงบประมาณที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จ่ายเงินมัดจำไปแล้วถึง 125 ล้านบาท แต่กลับไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันตามสัญญาในปี 2553

ที่มา มติชนออนไลน์

(https://www.matichon.co.th/news/798678)