วันอังคาร, มีนาคม 14, 2560
ถึงคราว สปท. ฉาวบ้าง หลังจากที่ สนช. แซงโค้งไปฟู่ฟ่ากับคดีธรรมกาย จนลงท้ายดีเอสไอหน้าแตก
ถึงคราว สปท. ฉาวบ้าง หลังจากที่ สนช. แซงโค้งไปฟู่ฟ่ากับคดีธรรมกาย จนลงท้ายดีเอสไอหน้าแตก
เมื่อครั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั่นกระสันปฏิรูปศาสนา มาครานี้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปดันทำเสียวเรื่องปรองดอง (คนละเรื่องกับ ป๋าเขกเด็กเสิฟ) เสียนี่
วานนี้ (๑๓ มีนา) ป๋าเสรี (สุวรรณภานนท์) ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนฯ ด้านการเมืองเสนอไอเดียเลิศ สร้างการปรองดองโดย “ให้อภัย” ด้วยการ “ใช้มาตรการจำหน่ายคดีชั่วคราว หรือการพักโทษ”
“เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด ใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้อง หรือถอนฟ้องคดีที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมือง
ทั้งในส่วนคดีที่ยังไม่เข้าสู่ชั้นศาล หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล แต่จะไม่ครอบคลุมถึงความผิดมาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญา และคดีทุจริต”
(http://www.thairath.co.th/content/883791)
วิจารณ์กันว่าเสนอแบบนี้ พวกพันธมิตรปิดสนามบิน-ยึดทำเนียบฯ กปปส. เป่านกหวีด-ปักกรวยและป็อปคอร์น ตกเป็นเป้ารับอานิสงค์เต็มๆ เพราะอีกฝ่ายคือพวก นปช. และเสื้อแดง ถ้าไม่ติดคุกอยู่แล้วก็โดนอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ต่างๆ (คำสั่ง คสช. พรบ.คอมพิวเตอร์ ม.๑๑๖ รวมทั้ง ม.๔๔) ปักหลังกันระนาว
ถึงอย่างนั้นยังไม่วายถูก ส.ส. ประชาธิปัตย์สับแหลกว่า “ไม่แตกต่างอะไรกับการนิรโทษกรรม” ซ้ำหาว่า “สปท.เขียนรายงานหรือเขียนกฎหมายตามใบสั่งของผู้มีอำนาจ ขาดการยึดโยงจากประชาชน” นายวัชระ เพชรทอง ออกมาโวย
“สปท. บางคนทำตัวเป็นสะพานทอดให้ระบอบทักษิณ บ้านเมืองมันวังเวง น่าเสียดายเงินภาษีของประชาชนเดือนละเป็นแสนๆ ที่ต้องมาจ่ายให้กับคนพวกนี้” วกเข้าไปหากระโถนท้องพระโรงจนได้
ทั้งๆ ที่ฝ่าย นปช. ก็จวกเละเช่นกัน “นายเสรีจงใจที่จะช่วยเหลือคนเสื้อเหลืองที่เป็นพวกเดียวกัน แต่ต้องการที่จะฟาดฟันคนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายตรงข้ามให้สาแก่ใจเพียงเท่านั้นใช่หรือไม่” นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการอ้าง
“นายเสรีกำลังส่งสัญญาณอะไร ทำไมการปิดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงอย่างนั้นหรือ
นายเสรีกำลังต้องการสร้างความขัดแย้งเช่นที่เคยเกิดขึ้นตลอดสิบปีที่ผ่านมาให้สาหัสยิ่งกว่าเก่าเช่นนั้นหรือ”
ล้วนเป็นคำถามที่ สปท.ไม่อยากตอบ เพราะตอนนี้กำลังมีเผือกร้อนอยู่ในมือต้องใส่ใจมากกว่า ขนาดรองประธาน สปท. อลงกรณ์ พลบุตร ต้องรีบชี้แจง
“ส่วนตัวเห็นว่า เป็นความผิดเฉพาะตัวเท่านั้น เพราะการกระทำดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ สปท. แต่อย่างใด”
(http://www.thairath.co.th/content/884086)
เรื่องส่วนตัวที่ว่ามาจากนายอนุสร จิรพงศ์ สมาชิก สปท. ไปรับประทานอาหารร้านย่านซอยอารีย์แล้วเกิดไม่พอใจที่เด็กเสิฟเรียกเขาด้วยสรรพนามแทนตัวว่า ‘ป๋า’ ผู้เสียหายไปแจ้งความในข้อหาทำร้ายร่างกาย
“ใช้หลังมือตวัดมาถูกที่บริเวณใบหน้า แก้มขวาได้รับบาดเจ็บ” (ข่าวมติชน ๑๓ มีนา)
คำชี้แจงของทั่นประธานฯ อลงกรณ์ แจ้งว่า “เบื้องต้น ได้ตรวจสอบไปยังนายอนุสรโดยตรง ก็ยอมรับผิดทุกประการ ยินดีเข้าพบกับพนักงานสอบสวน เจ้าของร้านและพนักงานที่ถูกทำร้ายร่างกาย ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาที่ดี...
ระหว่างนี้นายอนุสร ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองใดๆ แต่ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่สปท.ได้ตามปกติ”
แต่ก่อนหน้าที่ทั่นประธานฯ จะกรุณาออกมาชีแจง มีรายงานข่าวขัดแย้งกันเล็กน้อยระหว่างปากคำของฝ่ายผู้ล่วงละเมิดที่ “แสดงเจตนาดี” กับของฝ่ายผู้เสียหายที่โดนเขา “เพียงแค่ใช้มือเขกศีรษะพนักงานของร้านในลักษณะตักเตือนเท่านั้น”
เจ้าของร้านเล่าว่า นายอนุสรมานั่งรับประทานอาหารและสั่งไวน์แดงมาดื่ม จากนั้นนายอนุสรเรียกนายชาตอลงกรณ์ นิลยาน อายุ ๓๐ ปี ไปที่โต๊ะ “ก่อนจะตบบริเวณศีรษะ ไม่ทราบว่านายอนุสรไม่พอใจเรื่องอะไร
และเห็นว่านายชาตอลงกรณ์ไหว้ขอโทษอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นเจ้าของร้านจึงให้นายชาตอลงกรณ์ไปแจ้งความที่ สน.บางซื่อ”
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นายอนุสร สปท. ‘โนเนม’ ผู้ไม่เคยปรากฏผลงานใดๆ บนกูเกิ้ล (ใบตองแห้งเขาอุตส่าห์เซิ้ชหากับอากู๋ ไม่พบอะไรเลย) กลับกลายเป็นนักปฏิรูปโด่งดังขึ้นมาทันที
แถมมีภาพออกมายืนยันบุคคลิกภาพตรงข้ามกับที่ถูกแจ้งความ เขาแสดงอาการนุ่มนวล ลูบหัวและโอบเอวอย่างทนุถนอมและกรุณาเลยเชียวละ